free web tracker, fire_lady “ไข้เลือดออก” ยุงลายเพชรฆาตตัวร้าย โดนกัดครั้งเดียวอาจถึงตาย • สุขภาพดี

"ไข้เลือดออก" ยุงลายเพชรฆาตตัวร้าย โดนกัดครั้งเดียวอาจถึงตาย

โรคไข้เลือดออก

จากข่าวที่ดังเป็นพลุแตกเรื่องดาราเป็นไข้เลือดออก (Dengue Fever) จนถึงต้องตัดขาเพื่อรักษาชีวิต ดิฉันก็ได้แต่เอาใจช่วยภาวนาให้หายเป็นปกติโดยเร็ว และทำให้ภาพความทรงจำเกี่ยวกับเรื่องไข้เลือดออกที่เกิดกับคนใกล้ตัวของดิฉันผุดขึ้นมาอีกครั้ง ทั้งที่เรื่องราวเพิ่งจะผ่านมาไม่นาน แต่ดิฉันก็ลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิท ไม่ได้สนใจที่จะป้องกันรักษาตัวเองและคนใกล้ชิดโดยเฉพาะลูกสาวของดิฉันให้ห่างไกลจากยุงเท่าที่ควร

แชร์เรื่องราว...ไข้เลือดออกของลูกชายเพื่อน

เมื่อประมาณเดือนกันยายน ปีที่ผ่านมาดิฉันได้รับโทรศัพท์จากเพื่อนสนิท ว่าลูกชายป่วยเป็นไข้เลือดออก น้ำเสียงของเพื่อนไม่ค่อยดี ดิฉันจึงรีบไปโรงพยาบาลที่น้องเข้ารับการรักษา เมื่อไปถึงก็ทราบว่าตอนนี้น้องอยู่ในห้องไอซียูมีอาการอาเจียนเป็นเลือด เพื่อนดิฉันสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัวแล้วตอนนั้น นั่งร้องไห้ไปตีโพยตีพายโทษตัวเองว่าน่าจะเชื่อคุณแม่แล้วรีบพาน้องมาหาหมอที่โรงพยาบาลตั้งแต่แรก ดิฉันก็ได้แต่ปลอบใจว่าถึงมือหมอแล้วต้องปลอดภัย

เพื่อนดิฉันได้เล่าให้ฟังว่า เริ่มแรกน้องบ่นปวดตามเนื้อตัวและมีอาการตัวร้อนหลังจากโดนฝนที่โรงเรียนมาเพราะความซนตามประสาเด็ก เพื่อนดิฉันก็ให้ทานยาพาราและเช็ดตัวเพื่อลดไข้คิดว่าคงเป็นไข้หวัดธรรมดา จนกระทั่งวันที่ 2 น้องยังมีไข้สูง ทั้ง ๆ ที่ให้ทานยาลดไข้และเช็ดตัวตลอด เพื่อนดิฉันเลยพาน้องไปหาหมอที่คลินิกแถวบ้าน คุณหมอตรวจเสร็จก็บอกว่าน้องเป็นไข้หวัด ให้ยาแก้แพ้ และยาลดไข้กลับมาทานที่บ้าน

วันที่ 3 อาการไข้ยังไม่ลด และมีอาการอาเจียนเพิ่มขึ้นมา เพื่อนเลยพากลับไปหาคุณหมอคนเดิมอีก คราวนี้หมอบอกว่าที่อาเจียนมากเพราะไวรัสลงกระเพราะ คุณหมอจึงฉีดยาแก้อาเจียน และให้เกลือแร่แบบซองมาผสมน้ำดื่ม พร้อมย้ำให้ทานยาลดไข้ทุก 4 ชั่วโมง คอยหมั่นเช็ดตัวน้องเพื่อรักษาอุณหภูมิ

เมื่อถึงบ้านเพื่อนดิฉันก็ได้พูดคุยกับคุณแม่ถึงอาการน้อง คุณแม่แนะนำว่าควรจะไปหาหมอที่โรงพยาบาลดีกว่าเพราะเป็นไข้มาหลายวันแล้วก็ยังไม่หาย ฝ่ามือฝ่าเท้าก็ดูแดง ๆ แปลก ๆ อาจเป็นไข้เลือดออก ที่โรงพยาบาลเครื่องไม้เครื่องมือเขาครบไปให้เขาตรวจสักหน่อย เพื่อนดิฉันบอกคุณแม่ว่ารอดูอาการอีกสักวันก่อนถ้าไม่ดีขึ้นจะพาไปแล้วกัน เพราะหลังจากฉีดยาแก้อาเจียนแล้ว น้องก็ดีขึ้น เริ่มพูดคุยได้ปกติ ตอนนี้เพื่อนรู้สึกใจชื้นขึ้นคิดว่าคงไม่เป็นอะไรมากแล้ว หารู้ไม่ว่ามันคือสัญญาณอันตรายที่กำลังจะเกิดกับลูกชายตัวเอง

วันที่ 4 น้องมีอาการนอนกระสับกระส่าย บอกท้องอืดทั้ง ๆ ที่แทบจะไม่ได้กินอะไรเลย อาเจียนหนักจนเป็นสีเลือด เพื่อนดิฉันตกใจมาก มือไม้สั่นไปหมด รีบขับรถพาน้องมาโรงพยาบาล คุณหมอตรวจดูอาการแล้วพบว่าเป็นไข้เลือดออกระยะรุนแรง ต้องส่งตัวน้องเข้าห้องไอซียูด่วนเพื่อติดตามอาการอย่างใกล้ชิด

เพียงแค่ 4 วัน อาการป่วยของน้องรุนแรงจนต้องเข้าห้องไอซียู เรื่องมันเกิดเร็วมากจนเพื่อนของดิฉันตั้งตัวไม่ทัน จากที่คิดว่าเป็นแค่ไข้หวัดธรรมดากลายเป็นไข้เลือดออกระยะรุนแรง เป็นเรื่องที่ไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าต้องมาเกิดกับลูกตัวเอง น้องนอนรักษาตัวในห้องไอซียู 7 วัน ก็สามารถออกมาพักฟื้นห้องปกติ และต้องนอนรักษาตัวต่อที่โรงพยาบาลเกือบหนึ่งเดือนถึงกลับบ้านได้ ซึ่งนับว่าโชคดีมากที่ทำการรักษาได้ทันเวลา ถ้ามาโรงพยาบาลช้ากว่านี้น้องอาจเสียชีวิต

จากประสบการณ์ครั้งนั้นเพื่อนดิฉันกลายเป็นคนจิตตกกลัวยุงยิ่งกว่าโจร จะพกอุปกรณ์กันยุงทั้งพ่นทั้งทาพร้อมติดตัวป้องกันเสมอ และสอนลูกให้รู้จักป้องกันตัวเองด้วย ดิฉันก็บ้าเรื่องยุงไปพักหนึ่งพอเวลาผ่านไปก็ลืม กลับมาใช้ชีวิตปกติ ทั้งที่เป็นโรคที่ร้ายแรงมาก เราควรตี่นตัวและหาทางป้องกันโรคนี้อย่างจริงจัง วันนี้เรามาหาความรู้เพื่อเป็นการป้องกันโรคไข้เลือดออกกันค่ะ

สาเหตุโรคไข้เลือดออก

โรคไข้เลือดออกสาเหตุเกิดจากการที่ผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสที่ชื่อว่า เดงกี มีอยู่ 4 สายพันธุ์ ซึ่งมียุงลายเป็นพาหะนำโรค ปกติยุงลายจะออกหากินช่วงกลางวัน แต่จากการวิจัยล่าสุดพบว่ายุงลายมีการวิวัฒนาการการทำงาน ขยายเวลาการหากินไปถึง 5 ทุ่ม ถ้าคุณติดเชื้อชนิดใดชนิดหนึ่งแล้วจะไม่เป็นซ้ำ คนเรามีโอกาสติดเชื้อได้มากกว่า 1 ชนิด ในยุงบางตัวมีเชื้อเดงกีถึง 2 สายพันธุ์ การฉีดพ่นยาตามบ้านสามารถฆ่ายุงได้เฉพาะตัวแก่ แต่จะไม่สามารถฆ่าตัวอ่อนที่เป็นลูกน้ำได้อาการของโรคไข้เลือดออก แบ่งออกเป็น 3 ระยะ

ไข้เลือดออก

ระยะที่ 1 ระยะมีไข้ ในระยะแรกผู้ป่วยจะมีไข้สูงลอยประมาณ 39 – 40 องศาติดต่อกัน 5 – 6 วัน ปวดเนื้อตัว หน้าแดงจัด ปวดศีรษะ อาเจียน ปวดท้อง ซึม อ่อนเพลียมาก ดื่มน้ำได้น้อย อาจมีอาการหวัดร่วมด้วย ระยะนี้ผู้ป่วยอาจจะมีอาการของเลือดออก เช่น อาเจียนเป็นเลือด ถ่ายเป็นเลือด แต่บางคนก็ไม่แสดงอาการออกมาภายนอกร่างกาย เนื่องจากเลือดมักจะออกในอวัยวะภายใน เช่น ทางเดินอาหาร ช่องท้อง ปอด กระเพาะอาหาร เป็นต้น ในระยะนี้แพทย์จะวินิจฉัยโรคยาก เพราะในช่วง 2 – 3 วันแรก จะไม่สามารถตรวจพบเชื้อไวรัส โดยปกติถ้าเกล็ดเลือดไม่ต่ำมากหมอจะนัดมาดูอาการทุกวันมากกว่าจะให้นอนรักษาตัวที่โรงพยาบาล

ระยะที่ 2 ระยะวิกฤต หลังจากมีไข้หลายวัน อาการไข้จะเริ่มลดลง มือเท้าเย็น มีอาการกระสับกระส่าย อาจมีอาการท้องอืดร่วมด้วย ทำให้หลายคนเข้าใจผิดคิดว่าไข้เริ่มลดแล้ว เกิดการชะล่าใจคิดว่าตนเองหายไข้ แต่ระยะนี้คือระยะเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด เพราะอาจนำไปสู่การช็อกซึ่งอาจเสียชีวิตได้ภายใน 12-24 ชั่วโมง โดยแพทย์จะคอยเจาะเลือดเพื่อเฝ้าดูความเข้มข้นของเม็ดเลือด และเกร็ดเลือด ว่าสูงต่ำมากน้อยเพียงใด รวมทั้งเฝ้าระมัดระวังโรคอื่นแทรกซ้อนด้วย ในการรักษาโรคไข้เลือดออกยังไม่มียาที่ต้านไวรัสชนิดนี้โดยตรง โดยแพทย์จะพยายามรักษาเต็มที่ตามอาการที่เกิดกับผู้ป่วย

ระยะที่ 3 ระยะฟื้นตัว เป็นระยะที่เกล็ดเลือดเริ่มเข้าสู่ภาวะปกติ ทุกอย่างภายในร่างกายเริ่มดีขึ้น มีความอยากอาหารมากขึ้น และมักจะพบผื่นแดงคันตามฝ่ามือฝ่าเท้า เริ่มมีแรงมากขึ้นข้อห้ามเมื่อเป็นไข้เลือดออก

ห้ามกินยาแอสไพริน และ ไอบูโปรเฟน โดยเด็ดขาด เพราะตัวยาทั้งสองชนิดจะกัดกระเพาะทำให้เลือดออกได้ง่ายขึ้น โดยสามารถทานยาพาราเซตามอลได้ หากมีอาการไข้สูงให้รีบไปพบแพทย์จะดีที่สุด

ห้ามรับประทานอาหารที่มีสีดำแดง เช่น แตงโม น้ำแดง เพราะจะไม่สามารถแยกสีได้ว่าเป็นสีของเลือดหรือของอาหารที่รับประทาน

เนื่องจากปัจจุบันยังไม่มียารักษาไวรัสชนิดนี้ได้ จึงต้องอาศัยการสังเกตอาการ และดูแลผู้ป่วยอย่างใกล้ชิด คนเป็นโรคไข้เลือดออกไม่จำเป็นต้องนอนโรงพยาบาลเสมอไป ถ้าแพทย์วินิจฉัยว่าเกล็ดเลือดไม่ต่ำกว่าค่าปกติ ก็จะให้กลับไปรักษาตัวที่บ้าน พร้อมนัดให้มาพบแพทย์ตามกำหนด โรคไข้เลือดออกสามารถหายเองได้ สิ่งที่ต้องระมัดระวังเมื่อมีผู้ป่วยเป็นไข้เลือดออกในบ้านหรือแถวบ้าน ต้องพยายามรักษาตนเองให้พ้นจากการโดนยุงกัด หมั่นกำจัดลูกน้ำยุงลายเพื่อทำลายแหล่งแพร่พันธุ์ จะช่วยป้องกันการติดเชื้อชนิดนี้ได้ดีที่สุด

บทความอื่นๆ ที่เกี่ยวกับ โรคภัยใกล้ตัวที่อาจเกิดขึ้นได้โดยไม่รู้ตัว