free web tracker, fire_lady ครีมหน้าขาว...อันตราย เสี่ยงหน้าพังชั่วข้ามคืน • สุขภาพดี

ครีมหน้าขาว เสี่ยงหน้าพังชั่วข้ามคืน

กระแสค่านิยม “ความขาว” ยังมาแรงแบบฉุดไม่อยู่ ยิ่งขาวใสทั้งตัวแบบที่เรียกว่า “ขาวทะลุแป้ง” ยิ่งได้รับความนิยม เพราะคนส่วนใหญ่โดยเฉพาะคนเอเชียมองว่าคนที่มีผิวขาวดูดีกว่าคนผิวคล้ำ มองตรงไหนก็มีออร่า เปล่งประกายชวนมอง และเรียกความสนใจจากคนรอบข้างให้หันมามองได้เสมอ

ครีมหน้าขาว กับความอยากขาว

เมื่อเป็นเช่นนี้ใครก็อยากขาว เพื่อจะได้เป็นที่สนใจของคนอื่นบ้าง “ครีมหน้าขาว ครีมตัวขาว” จึงขายดิบขายดี ผู้ผลิตเครื่องสำอางจึงคิดค้นผลิตภัณฑ์ขึ้นมาตอบสนองความต้องการของผู้ใช้มากมาย ยิ่งครีมตัวไหนที่ทำให้ขาวไว ขาวใส ได้แบบชั่วข้ามคืนด้วยแล้วยิ่งได้รับความนิยม ซึ่งผู้ผลิตแต่ละรายจะใช้ส่วนประกอบของสารที่ทำให้ผิวขาวแตกต่างกัน นั่นจึงเป็นช่องทางให้ผู้ผลิตบางรายเห็นแก่ได้ใส่ส่วนผสมที่เป็นสารอันตรายลงไป เพื่อให้ผู้ใช้ได้ผลลัพธ์แบบรวดเร็ว โดยไม่คำนึงถึงผลเสียที่จะเกิดขึ้นกับผู้บริโภค

แน่นอนว่าผู้ใช้เองก็รู้ว่าเสี่ยง เพราะครีมที่สามารถเปลี่ยนสีผิวปกติของคนเราให้ขาวขึ้นได้อย่างรวดเร็วนั้น ย่อมต้องมีส่วนผสมของสารเคมีที่ไม่ธรรมดา และอาจเป็นอันรายต่อร่างกาย แม้หลายคนจะรู้ถึงอันตรายข้อนี้ดี แต่ก็ยังยอมเสี่ยงเพื่อให้ตัวเองได้มีผิวขาวเปล่งประกายอย่างที่ต้องการ

ที่ผ่านมาเราจึงได้เห็นข่าวคราวของผู้เสียหายที่ออกมาร้องทุกข์ หรือแม้แต่บอกเล่าประสบการณ์เตือนใจให้ผู้คนได้ตระหนักถึงพิษภัย และผลกระทบที่เกิดจากการใช้ครีมหน้าขาวที่ไม่ได้มาตรฐาน หรือไม่ผ่าน อย. กันอยู่บ่อย ๆ มาดูกันว่ามีส่วนผสมในครีมหน้าขาวอะไรบ้างที่เป็นอันตรายและห้ามใช้ในเครื่องสำอาง

ระวังสารอันตรายในครีมหน้าขาว

ปรอทแอมโนเนียช่วยให้หน้าขาวไว สารตัวนี้มีฤทธิ์ไปยับยังการสร้างเมลานิน ทำให้ผิวหน้าขาวไวในเวลาอันรวดเร็ว เหมือนเวลาที่เราเห็นบางคนหน้าขาวลอยเด่นกว่าคอเสียอีก แต่สิ่งที่น่ากลัวก็คือถ้าหยุดใช้ผิวก็จะกลับมาคล้ำเหมือนเดิม แถมได้ของแถมคือหน้าบวมแดง บางคนสิวเห่อขึ้นเต็มหน้า ผิวด่าง-ดำ หรือมากกว่านั้นพิษของสารตัวนี้จะสะสมในร่างกาย ส่งผลให้ตับ ไต และสมองทำงานผิดปกติ เลือดออกง่าย เกิดภาวะโลหิตจาง คนที่ทาครีมที่มีส่วนผสมของปรอทแอมโมเนียต่อเนื่องเป็นระยะเวลานานร่างกายก็จะได้รับสารพิษสะสมไปเรื่อย ๆ สุดท้ายระบบการทำงานในร่างกายก็พัง

ไฮโดรควิโนนยับยั้งการสร้างเมลานิน เมื่อก่อนนิยมใช้สารตัวนี้ในครีมป้องกันฝ้า เพราะจะไปออกฤทธิ์ยับยั้งการสร้างเม็ดสีเมลานินไว้ชั่วคราว แต่เมื่อไหร่ที่หยุดใช้ฝ้าก็จะกลับมาแถมยังเป็นมากกว่าเดิมเสียอีก และหากใช้ครีมที่มีสารนี้ต่อเนื่องกันนาน 6 เดือน อาจทำให้เนื้อเยื่อภายในผิวหนังเกิดเป็นฝ้าถาวรขึ้นได้ เนื่องจากผิวหนังมีการปรับตัวสร้างเม็ดสีมากขึ้น ยิ่งไปกว่านั้นคือ มีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็งผิวหนังด้วย ปัจจุบันจึงห้ามใช้สารไฮโดรควิโนนเป็นส่วนผสมในเครื่องสำอาง

อย่างไรก็ตาม โรงพยาบาลหรือคลินิกที่แพทย์เป็นผู้รักษาสามารถจ่ายยารักษาฝ้าให้ผู้ป่วยได้ตามดุลยพินิจของแพทย์ และมีการระบุปริมาณของสารที่ชัดเจน ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) กำหนดให้ผสมไฮโดร ควิโนนในการรักษาฝ้าได้ไม่เกิน 2% แต่หากซื้อครีมมาใช้เองอาจมีส่วนผสมของสารไฮโดรควิโนนเกินกว่าที่กำหนด ส่งผลให้เกิดผลข้างเคียงตามมา

เมื่อเราทราบว่าครีมที่ใช้อยู่มีสารไฮโดรควิโนนจริง อย่าเพิ่งหยุดใช้ครีมในทันที เพราะจะทำให้เกิดภาวะขาดยากะทันหัน หน้าจะมีอาการแดงแบบที่เรียกว่า “ฝ้าลงแดง” และฝ้าจะเป็นมากขึ้นจนกลายเป็นฝ้าถาวรในที่สุด เพราะฉะนั้นให้ค่อย ๆ ลดความถี่การทาครีมลง โดยสัปดาห์แรกให้ทาวันเว้นวัน สัปดาห์ที่สองให้ทาวันเว้นสามวัน และสัปดาห์ที่สามให้ทาวันเว้นห้าวัน เมื่อครบสามสัปดาห์แล้วก็หยุดทาครีมได้เลย และควรทาครีมกันแดดทุกครั้งด้วย

สเตียรอยด์หน้าขาวเวอร์ สารสเตียรอยด์นิยมใช้ในการรักษาสิวเพื่อลดรอยแดง คนที่ใช้ยาที่มีสเตียรอยด์ นาน ๆ จะทำให้หน้าขาวมากและบางลงจนเห็นเส้นเลือดที่ใบหน้าชัดเจน สารนี้ถ้าใช้ไปนาน ๆ จะไปทำลายต่อมไขมันไต้ผิวหนัง ทำให้มีตุ่มนูนแดงขึ้นมาเหมือนสิว ที่เรียกว่า “สิวสเตียรอยด์” 

ลักษณะตุ่มจะนูนแดงขึ้นมาบริเวณที่ทาเหมือนกันทุกเม็ด บางคนเป็นมากจนหน้าพังเลยทีเดียว เพราะฉะนั้นให้หยุดใช้ยาที่มีสเตียรอยด์ในทันที โดยไม่ต้องค่อย ๆ ลดเหมือนครีมที่มีสารไฮโดรควิโนน ซึ่งสิวที่เป็นจะค่อย ๆ ยุบลง แต่อาจต้องใช้เวลา เพราะสารสเตียรอยด์มีผลข้างเคียงมาก โดยเฉพาะผิวหน้าที่บางลง เมื่อเจอแสงแดดและมลภาวะภายนอก อาจเกิดผดผื่นติดเชื้อได้ง่ายขึ้น ทำให้การรักษาหายยากขึ้น

ทดสอบครีมหน้าขาวมีสารต้องห้ามหรือไม่

การทดสอบว่าครีมหน้าขาวที่ใช้อยู่มีสารปรอทแอมโนเนียและสารไฮโดรควิโนนหรือไม่ สามารถทดสอบง่ายๆ โดยให้ผสมผงซักฟอกกับน้ำให้เป็นครีมข้น ๆ แล้วพักไว้ ตักครีมที่สงสัยมาประมาณ 1 เมล็ดถั่วแดง วางลงบนกระดาษทิชชู่ แล้วจึงเทน้ำผงซักฟอกที่เตรียมไว้ลงไปบนครีม ทิ้งไว้ประมาณ 5 นาที ถ้าครีมเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลอ่อนถึงเข้ม ให้สงสัยไว้ก่อนว่าน่าจะมีส่วนผสมของสารต้องห้าม

หยดผงซักฟอกผสมน้ำบนครีมที่ต้องการตรวจสอบ

ทิ้งไว้ประมาณ 5 นาที

จากผลการทดสอบสันนิษฐานว่าครีมที่นำมาทดลองมีสารปรอทหรือสารไฮโดรควิโนน จึงไม่ควรเสี่ยงหน้าพังโดยการใช้ครีมตัวนี้ต่อไป เป็นไปได้ควรทำการทดสอบครีมหน้าขาวที่เราใช้ทุกตัวก่อนการใช้จริงบนใบหน้า

หากต้องการให้มั่นใจควรใช้ชุด Test Kit ของกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์จะให้ผลแน่นอนกว่า หรือหากสงสัยว่าครีมที่ใช้อยู่มีสารต้องห้ามควรแจ้งสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) หรือที่สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดทุกแห่ง การทดสอบครีมก่อนใช้จริงบนใบหน้าถือเป็นเรื่องที่สาวๆ หลายคนมองข้ามอันตรายของครีมหน้าขาว เสี่ยงหน้าพังโดยไม่รู้ตัว ดังนั้นควรปลอดภัยไว้ก่อนจะดีที่สุดค่ะ

อย่างไรก็ดี ปัญหาผลข้างเคียงจากสารเคมีในครีมหน้าขาวนี้ผู้บริโภคเองต้องให้ความสนใจในการเลือกซื้อ รวมถึงเครื่องสำอางอื่นด้วยว่าสินค้าที่ซื้อมานั้นมีมาตรฐาน ผ่านการรับรองจาก อย. หรือไม่ หากเครื่องสำอางใดที่ระบุรายละเอียดบนฉลากไม่ครบถ้วน เช่น ไม่มีชื่อและประเภทผลิตภัณฑ์ ส่วนประกอบ วิธีใช้ ที่ตั้งแหล่งผลิต วันเดือนปีที่ผลิต ให้หลีกเลี่ยงการซื้อ และตรวจสอบรายชื่อเครื่องสำอางที่ผิดกฎหมาย เครื่องสำอางอันตรายได้ที่เว็บไซต์ www.fda.moph.go.th จะได้ไม่ตกเป็นเหยื่อของผู้ผลิตเห็นแก่ได้ และเพื่อความปลอดภัยของผู้ใช้เองด้วย

บทความอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับครีมหน้าขาว