เคล็ดลับสุขภาพ เรื่องน่ารู้ July 25, 2016 Share 36 Tweet Pin 0 ประโยชน์ของ "เม็ดมะม่วงหิมพานต์" สรรพคุณคุ้มค่า คุ้มราคาแพง เมื่อนึกถึง "เม็ดมะม่วงหิมพานต์" (Cashew Nut) เราคงนึกได้ถึงความมัน...ทำนองเดียวกันกับพืชตระกูลถั่ว ทั้งที่ไม่ใช่พืชตระกูลเดียวกัน เม็ดมะม่วงหิมพานต์มีความอร่อยและมีราคาสูง อาหารที่ประกอบด้วยเม็ดมะม่วงหิมพานต์จึงพลอยมีราคาสูงไปด้วย แต่นอกจากจะเป็นส่วนประกอบของอาหารคาว หวาน ก็ยังมีการนำมารับประทานเป็นของกินเล่น ทั้งเคลือบแก้วเป็นขนม อบกรอบ หรือทอด เรามาทำความรู้จักกับลักษณะ สรรพคุณและประโยชน์ของมะม่วงหิมพานต์ ชื่อ “มะม่วง” แต่เหมือนถั่ว และไม่ใช่พืชตระกูลถั่ว กันเถอะ แหล่งกำเนิดมะม่วงหิมพานต์ตามประวัติแล้ว มะม่วงหิมพานต์ เป็นพืชพื้นเมืองของประเทศบราซิล โดยเฉพาะในภาคตะวันออกเฉียงเหนือและได้มีการแพร่หลายไปยังประเทศอื่นๆ ซึ่งปัจจุบันเติบโตในภูมิภาคเขตร้อน สำหรับประเทศไทยนั้นได้มีการนำเข้ามาปลูกครั้งแรกที่ภาคใต้ของประเทศไทย ครั้งแรกเมื่อราวปี พ.ศ. 2444 โดยพระยารัษฎานุประดิษฐมหิศรภักดี (คอซิมบี้ ณ ระนอง) เราจึงมักคุ้นว่า มะม่วงหิมพานต์มีมากทางภาคใต้ของประเทศไทยข้อมูลเฉพาะของมะม่วงหิมพานต์ มะม่วงหิมพานต์เป็นไม้ไม่ผลัดใบ และเป็นไม้ยืนต้นขนาดกลางที่มีลำต้นสูงประมาณ 6 เมตร แต่ก็มีบ้างที่สูงมากไปถึง10-12 เมตร มีธรรมชาติที่เมื่อเติบโตแล้วจะแผ่กิ่งก้านสาขาจนเป็นไม้พุ่มใหญ่ ใบหนาแน่น ความที่เราคุ้นแต่กับเม็ดมะม่วงหิมพานต์ที่มีรสมัน ทำให้เราอาจนึกไม่ถึงว่า แท้จริงแล้ว มะม่วงหิมพานต์มีผลของมันอีกต่างหาก ส่วนที่เรารับประทานนั้นเป็นส่วนที่โผล่ออกจากใต้ฐานของผลซึ่งมีรูปร่างเป็นรูปไข่คล้ายๆ กับลูกแพร์ ผลมะม่วงหิมพานต์นั้นเมื่อสุกจะมีสีเหลืองหรือส้มแดง มีความฉ่ำน้ำและมีกลิ่นหอม บางคนก็รับประทานแต่ส่วนใหญ่ไม้ผลนี้เรียกกันว่า "ผลสามัญ" เป็นผลเหมือนผลไม้อย่างหนึ่งทั่วๆ ไป ส่วนที่เราเรียกว่าเม็ดมะม่วงนั้น ตามหลักการแล้วไม่ใช่เม็ดมะม่วง แต่เป็น “ผลแท้” มีรูปร่างเป็นรูปโค้งงออย่างที่ทุกคนคงคุ้นเคย ในส่วนของผลแท้นี้ เมื่ออยู่กับผลสามัญจะมีเปลือกแข็งๆ สีน้ำตาลปนเทา เมื่อเก็บมาผ่านการผลิตเพื่อให้พร้อมจำหน่ายจะกระเทาะเปลือกออกก่อนสรรพคุณของเม็ดมะม่วงหิมพานต์...คุ้มค่า คุ้มราคา1.เม็ดมะม่วงหิมพานต์อุดมด้วยวิตามิน โดยจะประกอบด้วยโปรตีน และไขมันที่เป็นไขมันไม่อิ่มตัว คาร์โบไฮเดรต วิตามิน A วิตามิน B วิตามิน E เกลือแร่ แคลเซียม ฟอสฟอรัส และธาตุเหล็ก2. เม็ดมะม่วงหิมพานต์มีสรรพคุณช่วยป้องกันโรค โรคที่การทานเม็ดมะม่วงหิมพานต์ช่วยได้คือ โรคหัวใจและหลอดเลือด มะเร็งลำไส้ใหญ่ ประสาทจอตาเสื่อม3. เม็ดมะม่วงหิมพานต์ช่วยบำรุงสุขภาพเหงือกและฟัน ตลอดจนกระดูกให้แข็งแรง เพราะในเม็ดมะม่วงหิมพานต์นั้นมีแมกนีเซียมจำนวนมาก4. เม็ดมะม่วงหิมพานต์ป้องกันไขมันอุดตันในเส้นเลือด เพราะมีกรดไลโนเลอิก5. เม็ดมะม่วงหิมพานต์มีประโยชน์ในเรื่องต่อต้านอนุมูลอิสระ เม็ดมะม่วงหิมพานต์มีเส้นใยอาหารสูง ลดการดูดซึมไขมันได้ดี จึงช่วยด้านรูปร่าง6. เปลือกของต้นมะม่วงหิมพานต์ช่วยลดน้ำตาลในเลือดได้7. เม็ดมะม่วงหิมพานต์มีเป็นประโยชน์ช่วยรักษาสมดุลในร่างกาย8. ใบแก่นำมาตำรักษาแผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวกได้9. ผลและใบมีสรรพคุณลดไข้ได้10. เปลือกต้นมะม่วงหิมพานต์ใช้แก้อาการปวดฟันได้11. ยางจากต้นมะม่วงหิมพานต์ใช้แก้อาการเลือดออกตามไรฟันได้12. เม็ดมะม่วงหิมพานต์มีสรรพคุณลดความดันโลหิตได้ เนื่องจากแมกนีเซียมที่อยู่ในเม็ดมะม่วงหิมพานต์นั่นเองคุณค่าทางพลังงานเม็ดมะม่วงหิมพานต์ 100 กรัม ให้พลังงาน 553 กิโลแคลอรี่ ซึ่งนับว่ามีพลังงานสูงมาก เมื่อเป็นเช่นนี้จึงไม่แนะนำให้รับประทานจำนวนมากการปลูกมะม่วงหิมพานต์มะม่วงหิมพานต์เป็นไม้ยืนต้น อายุยืนที่ต้องการน้ำน้อย สามารถปลุกได้ง่าย เติบโตได้ดีในดินแทบทุกชนิดสามารถขยายพันธุ์ได้ด้วยการเพาะเมล็ด โดยการเลือกเมล็ดพันธุ์ที่มีความสมบูรณ์ดี แล้วเอามาเพาะใส่ถุงพลาสติก ขนาดไม่ต้องใหญ่ ประมาณ 5-8 นิ้วก็เพียงพอ หรือจะใช้ขุดหลุมปลูกเลยก็สามารถทำได้การกดเมล็ดลงในดินนั้น ให้วางเอียงๆ ทำมุม 45 องศา อายุของต้นกล้าใช้เวลาเติบโตประมาณไม่เกิน 4 เดือนก็ต้องย้ายลงดินที่เตรียมไว้ต่อไป ซึ่งมีวิธีในการย้ายกล้าดังนี้ 1. ให้ขุดหลุมเตรียมเอาต้นกล้าลง ให้เป็นหลุมที่มีความกว้าง ยาว ลึก ประมาณ 50-100 เซนติเมตร และปลูกเว้นระยะห่างระหว่างต้นและระหว่างแถว 6 เมตรเนื่องจากเมื่อเติบโตเต็มที่ ใบกิ่งก้านจะแผ่ขยายออกไปใช้พื้นที่กว้างพอสมควร หากปลูกชิดกันเกินไป เวลาเติบโตต้นจะเบียดกัน ส่งผลในเรื่องของผลผลิต 2. จากนั้นให้ใช้ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักที่ผสมไว้แล้ว ประมาณ3-5 กิโลกรัม มาผสมกับดินเทลงไปในหลุมประมาณครึ่งหลุม แล้วจึงนำต้นกล้ามะม่วงหิมพานต์ที่จะปลูกวางลงในหลุม โดยให้โคนต้นอยู่เหนือปากหลุมเล็กน้อย ก่อนที่จะกลบดินอีกครั้ง ต้องไม้ปักผูกติดกับต้นเพื่อสร้างไม้ค้ำลำต้นเอาไว้ก่อน ทั้งนี้ในระหว่างเติบโต ต้นมะม่วงหิมพานต์จะได้สามารถต้านทานแรงลมได้ ไม่ล้มเสียก่อนที่จะเติบโต เมื่อเรียบร้อยแล้วจึงกลบดินลงให้แน่น จากที่กล่าวแล้วว่า การปลูกมะม่วงหิมพานต์นั้น ควรปลูกให้มีระยะห่างทั้งระหว่างต้นและระหว่างแถวไกลๆ ดังนั้น ในพื้นที่ 1 ไร่จึงสามารถปลูกมะม่วงหิมพานต์ได้เพียงไม่เกิน45 ต้น ดังนั้น ในระหว่าง แถวมะม่วงหิมพานต์จะมีพื้นที่เหลือเยอะ ยิ่งในช่วงก่อนเติบโต จึงสมควรที่จะปลูกพืชแซมระหว่างแถว เพื่อเป็นรายได้เพิ่มเติมก่อนที่มะม่วงหิมพานต์จะผลิดอกออกผลให้เก็บได้ พืชที่นิยมปลูกแซมก็เช่น ข้าวฟ่าง ข้าวโพด หรือพืชตะกูลถั่วต่าง ๆการปลูกมะม่วงหิมพานต์ต้องใช้เวลาดูแลเป็นปีๆ จึงจะให้ผลครั้งแรก ทั้งนี้ในระหว่างนั้น ผู้ปลูกจะต้องดูแลเรื่องวัชพืชและแมลงที่จะมารบกวนด้วย เพื่อรักษาไว้จนกว่าจะออกผลเป็นพืชเศรษฐกิจให้แก่ครอบครัวต่อไปได้รู้ถึงสรรพคุณและประโยชน์ของเม็ดมะม่วงหิมพานต์ รวมถึงการปลูกมะม่วงหิมพานต์ กันไปแล้ว... สำหรับคนรักสุขภาพก็ควรทานแบบพอประมาณ ทานแบบสุขภาพดีกันนะ่ค่ะบทความอื่นๆ ที่เกี่ยวกับสรรพคุณ...ประโยชน์ของถั่ว ประโยชน์ของ “ถั่วพิสตาชิโอ” สรรพคุณมากโข มิได้โก้แค่ชื่อ ประโยชน์ของ "ถั่วดำ" สรรพคุณเป็นยา ทานแก้สารพัดโรค ประโยชน์ของ "ถั่วเขียว" ทานอร่อยทั้งแบบต้มน้ำตาล-ถั่วงอก-วุ้นเส้น ประโยชน์ของ “ถั่วลิสง” ให้คุณค่า มากกว่าแค่ความอร่อย