free web tracker, fire_lady 21 วิธีรักษาผิวแตกลาย-ลดรอยแตกลาย...รักษายังไงให้ผิวเนียนสวย • สุขภาพดี

21 วิธีรักษาผิวแตกลาย-ลดรอยแตกลาย...รักษายังไงให้ผิวเนียนสวย

วิธีรักษาผิวแตกลาย

"ปัญหาก้นลาย ก้นแตก ต้นขาแตก สะโพกแตกลายงา" เป็นหนึ่งในปัญหาที่ทำให้สาวๆ หลายคนกังวลกันไม่น้อย ถึงแม้ว่าผิวที่สามารถแตกลายได้ส่วนใหญ่จะอยู่มิดชิดในร่มผ้าก็ตาม แต่ก็อย่างที่รู้ๆ กัน...ใครก็อยากมีผิวที่สวยเนียนหมดจด แต่การหลีกเลี่ยงผิวแตกลายนั้นทำได้ยากมาก บางคนอาจมีมาตั้งแต่วัยรุ่น คนไหนที่รอดมาได้ช่วงวัยรุ่นก็มาแตกลายกันช่วงตั้งครรภ์ได้อีก  ทำให้บางคนหมดความมั่นใจในการใส่กางเกงขาสั้นหรือชุดว่ายน้ำกันไปเลยทีเดียว เมื่อต้องเจอกับปัญหาผิวลาย ผิวแตก เราจะมีวิธีแก้ และรับมืออย่างไร มาดูไปพร้อมๆ กันเลยค่ะ

รอยแตกลายเป็นปัญหาที่รักษาให้หายได้ด้วยตัวเองค่อนข้างยาก ทำได้เพียงบรรเทาหรือป้องกันไม่ให้แตกเพิ่มเติมเท่านั้น แต่ว่าด้วยเทคโนโลยีทางการแพทย์ใหม่ๆ ทำให้สาวๆ มีทางเลือกในการรักษามากขึ้น บางวิธีรักษารอยแตกใหญ่ๆ ที่แตกมานานแล้วได้ด้วย ถึงเวลาแล้วที่จะอวดผิวเนียนใส ใส่บิกินี่อวดผิวที่ชายทะเลได้อย่างมั่นใจ ใครที่ผิวแตกลายแล้วอยากกลับมามีผิวสวยใส คุณสามารถหาคำตอบได้ที่บทความนี้

ผิวแตกลาย เป็นอย่างไร?

"รอยแตกลาย" ( Stretch Marks ) คือรอยแตกที่ผิวหนัง มีสาเหตุมาจากการฉีกขาดของชั้นผิวหนังแท้ บริเวณรอยแตกและผิวหนังโดยรอบจะมีสีที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน รอยแตกจะพบได้มาในจุดที่มีชั้นไขมันใต้ผิวหนังมาก เช่น หน้าอก สะโพก ต้นขา หน้าท้อง เป็นต้น

อาการของรอยแตกลาย

ในระยะเริ่มแรก รอยแตกลายจะมีขนาดไม่ใหญ่มาก มีเข้มอย่างสีชมพูหรือสีแดง ขึ้นอยู่ความพื้นสีผิวของแต่ละคน หลังจากนั้นสีของรอยแตกจะซีดลงเรื่อยๆ สำหรับรักษานั้น หากรู้เท่าทันและรักษาได้ตั้งแต่ระยะแรกๆ จะรักษาหายได้ง่ายกว่ามากค่ะ

สาเหตุของผิวแตกลาย

ผิวแตกลายสามารถเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ ดังนี้

  • น้ำหนักขึ้นหรือลงเร็วเกินไป มักพบในช่วงที่กำลังย่างเข้าสู่วัยรุ่น หรือผู้ที่น้ำหนักขึ้นลงอย่างรวดเร็ว เช่น นักเพาะกาย สตรีตั้งครรภ์ ผู้ที่ลดน้ำหนัก เป็นต้น น้ำหนักตัวนั้นมีผลต่อการยืดขยายผิวหนังอย่างมาก หากไม่สามารถควบคุมได้ รอยแตกลายจะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน
  • การใช้ยาสเตียรอยด์ สเตียรอยด์เป็นสารเคมีที่นำมาใช้ประโยชน์ทางการแพทย์กันอย่างหลากหลาย ไม่ว่าจะยากิน ยาทา ยาฉีดรวมไปถึงยาพ่น การใช้ยาสเตียรอยด์ติดต่อกันเป็นเวลานานๆ นั้นมีผลข้างเคียงคือ ทำลายคอลลาเจนที่ใต้ผิวหนัง ผิวหนังจะเสียความยืดหยุ่น และแตกเป็นรอยใหญ่มากๆ รอยแตกลายที่เกิดจากสาเหตุนี้นั้นรักษาให้หายได้ยากมากๆ
  • กรรมพันธุ์ หากในครอบครัวมีประวัติสมาชิกมีรอยแตกลายมาก่อน สมาชิกรุ่นถัดๆ มามีโอกาสเป็นรอยแตกลายได้มากขึ้น โดยจะพบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย บริเวณที่พบบ่อยๆ คือก้นและสะโพก
  • ความเจ็บป่วย มีโรคทางพันธุกรรมบางโรคที่ส่งผลทำให้ผิวหนังแตกได้เช่น โรคในกลุ่มอาการคุชชิ่ง โรคมาแฟนซินโดรม ซึ่งมีกลไกที่ทำให้ผิวหนังสูญเสียความยืดหยุ่น ทำให้มีรอยแตก บางคนอาจจะแตกที่หัวไหล่ร่วมด้วย

21 วิธีรักษารอยแตกลาย

1. ควบคุมน้ำหนัก สาเหตุหลักๆที่ทำให้ผิวแตกลายนั้นมาจากการที่ผิวหนังขยายจากการที่น้ำหนักขึ้นเร็วจนเกินไป ซึ่งก็พบได้ในผู้ที่ร่างกายเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว ผู้ที่มีน้ำหนักเกิน หรือในสตรีตั้งครรภ์นั่นเอง ดังนั้นการควบคุมน้ำหนักจึงช่วยป้องกันรอยแตกลายได้ ทั้งยังช่วยไม่ให้รอยแตกเพิ่มมากขึ้นไปมากกว่าเดิม การควบคุมน้ำหนักที่ดีคือ ควบคุมการทานอาหาร (ไม่ใช่การอดอาหาร) ทานให้อิ่มพอดีทุกมื้อ แต่ต้องเลือกทานแต่อาหารที่มีประโยชน์ ลดของมันของทอด ทานคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนแทนคาร์โบไฮเดรตปกติ (เช่น ข้าวขัดสี ขนมปังโฮลวีต) ทานอาหารที่อุดมไปด้วยเส้นใย และที่สำคัญคือ ต้องออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอเพื่อควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐานอยู่เสมอ

สำหรับผู้ที่มีน้ำหนักเกินและต้องการจะลดความอ้วน ห้ามลดน้ำหนักเร็วเกินไป เพราะผิวจะแตกลายง่ายมากขึ้นแถมผิวหนังอาจจะห้อยย้อย ซึ่งรักษาได้ยากมาก นอกจากจะทานให้อ้วนเหมือนเดิมแล้วลดน้ำหนักใหม่ หรือผัดตัดเอาผิวหนังส่วนที่เป็นปัญหาออกเท่านั้น

2. ทานอาหารที่อุดมไปด้วยวิตามินที่ดีต่อผิว เลือกทานอาหารที่อุดมไปด้วยอนุมูลอิสระและวิตามินที่สำคัญต่อผิว สามารถพบได้มากในผักและผลไม้ เช่น สารแอนโทไซยานิน สารฟลาโวนอยด์ วิตามินอี วิตามินเอ เป็นต้น สารเหล่านี้จะช่วยปกป้องผิวให้แข็งแรง ช่วยฟื้นฟูและซ่อมแซมเนื้อเยื่อ ช่วยชะลอความชราของผิว

3. หลีกเลี่ยงการอาบน้ำอุ่น การอาบน้ำอุ่นบ่อยๆ ทำให้ผิวแห้ง เสียความชุ่มชื่น เป็นสาเหตุหนึ่งของผิวแตกลาย อีกทั้งเมื่อผิวแห้ง จะทำให้คันง่ายกว่าปกติ เมื่อผิวที่แตกลายแล้วถูกเกาบ่อยๆ ผิวจะแตกมากกว่าเดิม

4. ดื่มน้ำเปล่าให้เพียงพอ ดื่มน้ำเปล่าอย่างน้อย 8 แก้วต่อวัน เพื่อคงความชุ่มชื่นให้ผิว ทำให้ผิวมีความยืดหยุ่นและกระชับ เมื่อผิวชุ่มชื่นมากขึ้น อาการคันที่รอยแตกจะบรรเทาลง ช่วยลดรอยนูน ป้องกันไม่ให้เกิดรอยแตกรอยใหม่

5. พยายามไม่เกาผิวแรงๆ เพราะการเกาผิวนั้นทำให้รอยแตกขยายใหญ่ขึ้น แตกเพิ่มมากขึ้น และยังทำให้รอยนั้นดำคล้ำกว่ารอยที่ไม่ได้เกาด้วย

6. ทาครีมบำรุงผิว เพิ่มความชุ่มชื่นให้กับผิวพรรณอยู่เสมอด้วยการทาครีมบำรุงผิว แนะให้เลือกครีมที่มีความเข้มข้นสูง ทาทุกวันทั้งตอนเช้าและก่อนนอน ก่อนทาวอร์มครีมให้ร้อน โดยบีบครีมใส่ฝ่ามือ นำมาฝ่ามือมาถูกันจนครีมอุ่นขึ้น เพราะจะทำให้ครีมซึมซาบสู่ผิวได้ดี ผู้ที่มีผิวแตกลายห้ามลืมทาครีมโดยเด็ดขาดเพราะผิวจะแห้ง รอยแตกลายอาจจะแตกมากกว่าเดิม

7. ทาครีมสำหรับลดรอยแตกลาย ถ้าอยากได้ผลดียิ่งขึ้น ควรใช้ครีมลดรอยแตกโดยเฉพาะมาทาร่วมกับครีมบำรุงผิวโดยทั่วไป ครีมประเภทนี้จะมีความเข้มข้นสูงมาก มีส่วนผสมที่ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนของผิวหนังหรือช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับผิวอย่างวิตามินเอ หรือมีส่วนผสมของกรดผลไม้ที่ช่วยผลัดเซลล์ผิวและลดเลือนริ้วรอยอย่าง AHA เป็นต้น ครีมกลุ่มนี้อาจจะไม่ได้ช่วยให้รอยแตกหายได้ 100% แต่ว่าก็ได้ผลดีพอสมควร เมื่อทาอย่างต่อเนื่อง ใครที่มีปัญหาผิวแตกลายแล้วอยากมองหาครีมลดรอยแตก แต่ว่าไม่รู้จะเลือกยี่ห้อไหนมาใช้ดี เราได้รวบรวมครีมๆ ดีมาฝาก เพื่อเป็นแนวทางในการตัดสินใจค่ะ

  • Gly Derm Stretch Mark Cream เป็นครีมลดรอยแตกลายที่เภสัชกรมักแนะนำให้ใช้ เพราะว่าเนื้อครีมเข้มข้นแต่ก็เนียนละเอียด ซึมซาบได้ง่าย และใช้ได้กับทุกสภาพผิว แม้ว่าจะเป็นผิวบอบบางแพ้ง่ายค่ะ ราคาอยู่ที่ 300 กว่าบาทค่ะ
  • Smooth E Perfect Skin Therapie ตัวนี้เป็นครีมที่อยู่ในกลุ่มเวชสำอางที่ออกแบบมาเพื่อแก้ปัญหาผิวแห้ง ผิวแตกลายโดยเฉพาะ ช่วยบำรุงผิวให้นุ่มชุ่มชื่น ช่วยให้รอยแตกนุ่มและจางลง ราคา 200 บาทขึ้นไป
  • Provamed Stretch Mark Dream เป็นครีมลดรอยแตกที่ได้รับความนิยมอีกยี่ห้อหนึ่งเลยสำหรับโปรวาเมด เนื้อครีมเนียนนุ่มกลิ่นหอม ทาแล้วซึมซาบได้ง่าย ไม่เหนียวเหนอะหนะ อ่อนโยนแม้ผิวแพ้ง่าย คุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์ก็สามารถใช้ได้โดยไม่ส่งผลข้างเคียงใดๆต่อลูกน้อย ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว รอยแตกดูจางลง ราคา 300 กว่าบาทค่ะ
  • Nivea Cream นีเวียตลับสีน้ำเงินที่หลายๆคนคุ้นเคยกันดี เนื้อครีมสีขาวเข้มข้นมากๆ ที่จริงแล้วเป็นครีมที่ผลิตมาเพื่อช่วยให้เรื่องแก้ปัญหาผิวแห้ง ทำให้ผิวชุ่มชื่น ช่วยลดรอยแตกได้ดีเยี่ยม อาจจะทายากสักเล็กน้อยแต่ว่าแลกกับประสิทธิที่ดี จัดว่าคุ้มค่ามากๆ ค่ะ ครีมนีเวียตัวนี้ใครที่ตั้งครรภ์ในระยแรก สามารถนำมาทาได้เลย ไม่ต้องรอให้แตก ช่วยป้องกันการเกิดรอยแตกได้ ส่วนใครที่แตกไปแล้วหมั่นทาเป็นประจำทุกๆ วันจะเห็นผลชัดเจนในเวลาไม่นาน ราคาอยู่ที่ 30-130 บาทขึ้นอยู่กับขนาดค่ะ
  • Bio Oil ผลิตภัณฑ์ลดรอยแตกยอดนิยมอันดับหนึ่งในใจใครหลายคน มีลักษณะเป็นน้ำมัน แต่ทาแล้วไม่เหนียวเหนอะ ซึมง่าย ผิวไม่มันเยิ้ม ช่วยแก้ปัญหาผิวแตกลายได้อย่างดีเยี่ยม บำรุงผิวให้เนียนนุ่น สีผิวเรียบเนียนสม่ำเสมอ ทั้งยังช่วยลดรอยแผลเป็นได้อีกด้วย ราคา 300 บาทขึ้นไป

8. สครับผิวอยู่เสมอ การสครับผิวเป็นวีที่จะช่วยเร่งการผลัดเซลล์ผิว ทำให้เซลล์ผิวที่ตายแล้วและคราบไคลที่สะสมหลุดลอกออก เร่งการเกิดเซลล์ผิวใหม่ ทำให้ผิวเนียนนุ่มและกระจ่างใสมากขึ้นกว่าเดิม ผิวจะยืดหยุ่น เรียบเนียน สีผิวสม่ำเสมอ การสครับผิวควรเลือกใช้สครับที่ทำมาจากวัตถุดิบจากธรรมชาติ ซึ่งมีความอ่อนโยนต่อผิวมากกว่า

  • สครับผิวด้วยน้ำตาล น้ำตาลเป็นวัตถุดิบที่หาได้ง่ายและช่วยขัดผิวได้เป็นอย่างดี นำน้ำตาลมาป่นให้ละเอียด จากนั้นผสมน้ำผึ้งและน้ำมะนาวเล็กน้อย คนให้เข้ากัน นำมาขัดเบาๆ เป็นวงกลมบริเวณที่มีรอยแตก ขัดจนกว่าจะเริ่มแห้งและซึมเข้าผิวหนัง ทิ้งไว้ประมาณ 30-40 นาที แล้วค่อยล้างออก
  • สครับผิวด้วยเกลือ เกลือก็เป็นวัตถุดิบที่ช่วยขจัดเซลล์ผิวเก่าได้ดีมากๆ นำเกลือป่นมาผสมกับน้ำผึ้ง น้ำนมและน้ำมะนาว ผสมให้เข้ากัน พอกและขัดทิ้งไว้เหมือนกับการสครับด้วยน้ำตาล จากนั้นค่อยล้างออก
  • สครับผิวด้วยมะขาม มะขามเป็นผลไม้ที่มีกรด AHA จากธรรมชาติ ช่วยผลัดเซลล์สิว ทำให้สีผิวเรียบเนียน นำมะขามเปียกมาก้อนเล็กๆ ผสมน้ำและยีๆ ให้เป็นน้ำมะขามข้นๆ (หากมะขามมีใย ไม่ต้องเอาออก ใช้ขัดผิวได้ดีมาก) ผสมน้ำผึ้งลงไปเพื่อช่วยบำรุงผิว นำส่วนผสมมาขัดเบาๆ แล้วพอกไว้ประมาณ 15-20 นาที หากเอาไว้นานเกินไปอาจจะระคายเคืองผิวได้
  • สครับผิวด้วยกากกาแฟ นำกากกาแฟมาผสมกับทานาคาหรือขมิ้นชัน และผสมน้ำผึ้งลงไปพอขึ้น นำมาขัดและบวดเบาๆ ทิ้งไว้ประมาณ 15-20 นาทีแล้วล้างออก นอกจากจะช่วยลดรอยแตกแล้ว กากกาแฟช่วยลดเซลล์ลูไลส์ ช่วยแก้ปัญหาผิวเปลือกส้มได้เป็นอย่างดี
กากกาแฟหมักผม

ทุกสูตรที่ใช้สครับผิวลดรอบแตกลาย สามารถสครับผิวได้ทั่วทั้งร่างกาย ระยะเวลาที่ทิ้งไว้ขึ้นอยู่ว่า ส่วนผสมมีความเป็นมากแค่ไหน หากรู้สึกแสบหรือระคายเคืองมากไป ให้รีบล้างออกด้วยน้ำสะอาด ในระยะแรกที่ทำการรักษารอยแตก ควรสครับที่รอยแตกสัปดาห์ละ 3-4 ครั้งติดต่อกัน เมื่อรอยเริ่มจางลงแล้ว ควรลดความถี่ลงมาเป็นสัปดาห์ละ 2-3 ครั้งก็เพียงพอ และสิ่งสำคัญที่ลืมไม่ได้คือ ต้องบำรุงผิวด้วยครีมลดรอยแตกทุกครั้งหลังสครับค่ะ

9. ทรีตเมนต์ผิวด้วยธรรมชาติเพื่อแก้ปัญหาผิวแตกลาย

  • ไข่ขาว ในไข่ขาวมีโปรตีนและวิตามินมากมายที่ช่วยบำรุงผิว นำไข่ขาว 1 ฟองมาแยกไข่แดงออก ตีไข่ขาวเล็กน้อยพอให้เกิดฟอง แล้วนำไข่ที่ได้มาทาบางๆ บริเวณที่เกิดรอยแตก รอจนแห้งแล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด
  • มันฝรั่ง มันฝรั่งก็อุดมไปด้วยสารอาหารเดียวกับไข่ ฝานมันฝรั่งเป็นแผ่น จากนั้นทุบๆให้น้ำมันฝรั่งออกมา นำมาทาผิวที่แตกด้วยมันฝรั่งทั้งแผ่น ควรทาพร้อมนวดไปด้วย จากนั้นทิ้งไว้ให้แห้ง แล้วล้างออก
  • ว่านหางจระเข้ นำว่านหางจระเข้ไปปอกเปลือก แล้วนำวุ้นที่ได้ไปปั่นจนละเอียด  ผสมน้ำผึ้งเล็กน้อยแล้วพอกทิ้งไว้ประมาณ 10-15 นาที แล้วล้างออก น้ำผึ้งจะช่วยสมานผิว ส่วนว่านหางจระเข้จะช่วยบำรุงผิวช่วยไม่ให้ผิวแห้งตึง
  • น้ำมะนาว มะนาวกึ่งกลางลูก บีบพอให้น้ำมะนาวชุ่มๆ จากนั้นนำเปลือกมาทาเบาๆ ให้ทั่วรอยแตกสักครู่ ทิ้งไว้ประมาณ 5-10 นที ล้างออกด้วยน้ำอุ่น มะนาวมีกรด AHA ช่วยผลัดเซลล์ผิวได้เป็นอย่างดี

10. บำรุงผิวด้วยว่านหางจระเข้ ว่านหางจระเข้เสมือนเป็นครีมบำรุงผิวที่ได้จากธรรมชาติ เพราะอุดมไปด้วยสารอาหารผิวอย่างวิตามินต่างๆ และสารต้านอนุมูลอิสระสูง ซึ่งช่วยฟื้นฟูและซ่อมแซมเซลล์ผิวจากการถูกทำร้าย บำรุงผิวให้เนียนนุ่มชุ่มชื่น อ่อนเยาว์และสดใสอย่างเป็นธรรมชาติ การมีผิวแตกลายในบางครั้งทำให้เกิดอาการคัน การใช้ว่านหางจระเข้เย็นๆ มาทาผิวช่วยบรรเทาอาการคันได้เป็นอย่างดี

สรรพคุณ ประโยชน์ของว่านหางจระเข้

สำหรับการใช้ว่านหางจระเข้นั้น เลือกว่านหางจระเข้ขนาดใหญ่ที่แก่หน่อย จะอยู่ด้านล่างของลำต้น นำมาล้างให้สะอาดแล้วปอกเปลือก ล้างยางออกจนหมด นำวุ้นที่ได้มาทาบนผิวโดยตรง นวดๆ ให้ซึมเข้าผิวโดยไม่ต้องล้างออก หรือว่าจะใช้เจลบำรุงผิวที่มีส่วนผสมจากว่านหางจระเข้ก็ได้เช่นกัน

11. ปรนนิบัติผิวด้วยน้ำมันธรรมชาติ  มีน้ำมันที่สกัดจากวัตถุดิบธรรมชาติหลายชนิดที่มีคุณสมบัติช่วยบำรุงและฟื้นฟูผิว ไม่ว่าจะเป็นน้ำมันมะพร้าว น้ำมันมะกอก น้ำมันงา น้ำมันอโวคาโด น้ำมันละหุ่ง เป็นต้น แต่ว่าน้ำมันที่ค่อนข้างมีชื่อเสียงในด้านการบำรุงผิวคือ น้ำมันมะพร้าวและน้ำมันงา นำน้ำมันที่มีมาอุ่นจนเกือบร้อน จากนั้นทาที่ผิวหนังที่มีรอยแตกจนชุ่มเล็กน้อย ทิ้งไว้ 15-20 นาทีแล้วล้างออก ช่วยทำให้ผิวนุ่มนวลไม่แห้งกร้าน รอยแตกจะนุ่มและจางลง

12. ทายาในกลุ่มเรตินอยด์  ยาในกลุ่มนี้ที่มีชื่อเสียงและคนรู้จกกันทั่วไปคือ เรตินเอ โดยปกติแล้วจะนำมาใช้รักษาสิว แต่ว่ามีหลายคนทดลองใช้รักษาผิวแตกลายพบว่าได้ผลเช่นเดียวกัน ยานี้มีชนิดความเข้มข้นมีหลายระดับ ใครที่จะรักษาด้วยวิธีนี้ควรเริ่มต้นที่ระดับ 0.025% ซึ่งเป็นระดับอ่อนที่สุดก่อน ป้องกันการระคายเคือง วิธีการคือหลังอาบน้ำ ซับน้ำจนแห้งสนิท ทายาให้ทั่วรอยแตก ไม่ต้องทาครีมบำรุงผิวหลังจากนั้น ควรใช้ยาแค่วันเว้นวัน ส่วนวันที่ไม่ได้ใช้ก็สามารถทาครีมได้ตามปกติ ทาเป็นประจำติดต่อประมาณ 1 เดือนจะเห็นความแตกต่างอย่างชัดเจน สำหรับผลข้างเคียงอาจมีเล็กน้อย เช่น แสบผิว ผิวแห้งแดงและลอกเป็นวงๆ แต่ว่าอาการพวกนี้จะดีขี้นเองในเวลาไม่นาน แต่ก็มีข้อห้ามเช่นกัน คือ สตรีมีครรภ์และสตรีที่กำลังให้นมบุตรห้ามใช้ยานี้

13. ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของกรดไกลโคลิก เป็นกรดที่อยู่ในกลุ่มอัลฟาไฮดรอกซี ซึ่งสามารถสกัดได้จากอ้อย จากงานวิจัยพบว่าช่วยทำให้ผิวแตกลายจางลงได้ กรดนี้มีผสมอยู่ในผลิตภัณฑ์จำพวกโทนเนอร์ คลีนเซอร์หรือโฟมล้างหน้าอยู่บ้าง แต่ควรไปพบแพทย์จะดีกว่า เพราะจะได้ยาที่มีความเข้มข้นสูงกว่านี้ ซึ่งเหมาะสำหรับรักษารอยแตกมากกว่าผลิตภัณฑ์ที่กล่าวมาข้างต้น

14. สวยทันใจด้วยครีมอำพรางริ้วรอย ใครที่จำเป็นต้องใส่ชุดที่โชว์ผิวในขณะที่รอยแตกลายยังรักษาไม่หาย ครีมเครื่องสำอางจำพวกบีบีครีม คอนซีลเลอร์ ก็สามารถใช้ทดแทนกันได้เช่นกัน หากกลัวครีมเยิ้มหรือหลุด ก็เลือกแบบที่กันน้ำค่ะ

15. การเลเซอร์ การเลเซอร์เป็นวิธีการใช้คลื่นแสงที่ความถี่ต่างๆไปกระตุ้นผิวหนังสร้างคอลลาเจน อิลาสติน เพื่อให้ผิวหนังฟื้นฟูซ่อมแซมตัวเอง ซึ่งการเลเซอร์มีหลายแบบ ควรเลือกแบบที่เหมาะสมกับระดับความรุนแรงของรอยแตกตัวเอง โดยปกติแล้วการเลเซอร์จะไม่ก่อให้เกิดความเจ็บปวดมากนักในขณะทำ อาจจะรู้สึกเหมือนโดนยางดีด เลเซอร์บางชนิดไม่เจ็บก็มี แต่การดูแลรักษาหลังเลเซอร์จะคล้ายกัน เช่น Pulsed Dye Laser เป็นเลเซอร์ที่เหมาะสำหรับรักษารอยแตกใหม่ๆ ช่วยให้เส้นเลือดใต้รอยแตกฝ่อตัวลง รอยจะจางและเล็กขึ้น Fraxel Laser เลเซอร์นี้จะช่วยกระตุ้นให้ผิวหนังสร้างคอลลาเจน เหมาะกับรอยแตกที่แตกมานานแล้ว และ V-Beam Laser เหมาะสำหรับรอยแตกใหม่ๆ ช่วยลดรอยเส้นเลือดใต้ผิวที่แตกให้จางลง เป็นต้น การรักษาด้วยเลเซอร์ เมื่อทำครั้งเดียวมักไม่เห็นชัดเจนนัก ต้องทำซ้ำประมาณ 3-5 ครั้ง ผลการรักษาอยู่ที่ 40-60%

16. การกรอผิวด้วยเกร็ดอัญมณี ( Microdermabrasion ) การกรอผิวจะใช้อุปกรณ์ที่มีหัวพ่นผลึกอัญมณีลงไปที่ผิวหนังในส่วนที่แตก เซลล์ผิวหนังชั้นนอกจะถูกกรอออกและหลุดร่วงออกมา ผิวหนังจะเรียบเนียนขึ้น รอยแตกจะดูจางลง วิธีนี้เป็นหนึ่งในไม่กี่วิธีที่ช่วยรักษารอยแตกลายที่แตกมานานแล้วอย่างได้ผลจริง

17. การผลัดผิวด้วยกรดผลไม้  กรดผลไม้บางชนิดอย่าง AHA นำมาใช้รักษารอยแตกได้ วิธีการคือนำกรดมาทาที่ผิวหนัง เพื่อกระตุ้นให้ผิวหนังสร้างคอลลาเจน ทำให้ผิวยืดหยุ่นขึ้น กรดนี้พบได้ในผลไม้รสเปรี้ยวทั่วไปและถ้าหากต้องความเข้มข้นสูง สามารถหาซื้อได้ตามร้านขายยา แต่ข้อควรระวังคือ กรดนั้นอาจทำให้ผิวระคายเคืองได้ อีกทั้งสตรีตั้งครรภ์ห้ามใช้วิธีนี้

18. การเมโสลดรอยแตกลาย ( Mesotherapy ) เป็นเทคนิคที่ใช้เข็มฉีดยาที่มีคุณสมบัติช่วยสมานและฟื้นฟูรอยแตกของผิวหนัง ยาที่ใช้มีหลายชนิด ปริมาณและจำนวนครั้งในการฉีดนั้นขึ้นอยู่กับระดับความรุนแรงของรอยแตก

19. การทำ IPL ( Intensed Pulsed Light )  วิธีนี้จะใช้พลังงานแสงที่มีความเข้มสูง ยิงลงไปที่ผิวหนังที่มีรอยแตกจากการศึกษาวิจัยพบว่าเป็นวิธีที่รักษารอยแตกในระยะแรกได้ผลดีมาก และต้องทำซ้ำอย่างน้อย 5 ครั้งขึ้นไป ในขณะทำอาจจะรู้สึกเจ็บเล็กน้อยเท่านั้นค่ะ

เลเซอร์ IPL รอยแตกลาย

20. การใช้ลูกกลิ้ง ( Dermaroller ) สำหรับวิธีนี้จะใช้อุปกรณ์ที่มีลักษณะคล้ายลูกกลิ้งมากลิ้งที่ผิวบริเวณรอยแตก โดยจะใช้ร่วมกับยาหรือผลิตภัณฑ์ที่ใช้รักษารอยแตก ซึ่งจะทำให้ประสิทธิภาพในการรักษามากยิ่งข้น เป็นวิธีที่ช่วยฟื้นฟูและสมานรอยแตกได้อย่างดีเยี่ยม ไม่ทำให้รู้สึกเจ็บระหว่างทำ  ผลข้างเคียงไม่มีเลยถ้าไม่แพ้ครีมหรือยารักษารอยแตก เห็นผลอย่างดีเยี่ยมถ้าทำอย่างน้อย 6 ครั้งติดต่อกัน โดยทำซ้ำทุกๆ 2 สัปดาห์

Dermaroller ลดรอยแตกลาย

21. คาร์บ็อกซี่ลดรอยแตก ( Carboxytherapy ) การฉีดคาร์บ็อกซี่ คือการใช้เข็มฉีดยาฉีดก๊าซคาร์บอนไดออกไซเข้าไปตามแนวรอยแตกโดยตรง ช่วยให้ระบบไหลเวียนเลือดทำงานดีขึ้น เพื่อกระตุ้นให้ผิวหนังสร้างคอลลาเจน ทำให้มีความยืดหยุ่นและกระชับมากขึ้น การฉีดก๊าซจะฉีดไปที่ชั้นผิวหนังตื้นๆ เท่านั้น แต่ใครที่จะรักษาด้วยวิธีนี้อาจจะต้องทำใจนิดหน่อยเพราะค่อนข้างเจ็บมากพอสมควรโดยปกติแล้ววิธีนี้จะใช้สำหรับการสลายไขมันส่วนเกิน แต่ว่าก็สามารถนำมาใช้รักษารอยแตกได้เช่นกัน แต่เพื่อผลลัพธ์ที่ดี ต้องฉีดซ้ำ 3-5 ครั้ง โดยฉีดซ้ำทุก 1 สัปดาห์ติดต่อกัน จึงจะเห็นผลชัดเจน ส่วนประสิทธิภาพการรักษานั้นอยู่ที่ประมาณ 30-50% แต่บางคนก็อาจจะไม่ตอบสนองต่อการรักษาเลยเช่นกัน

จริงๆ แล้วปัญหาผิวแตกลายนั้นจัดเป็นเรื่องธรรมดามากๆ ผู้หญิงส่วนใหญ่ต้องประสบพบเจอกับปัญหานี้ไม่ช่วงใดก็ช่วงหนึ่งของชีวิต ดังนั้นควรทำความเข้าใจว่ามันคือธรรมชาติของร่างกาย ไม่ต้องเครียดหรือกังวลมากจนเกินไป เพราะเจ้ารอยแตกนี้ก็ไม่ได้สร้างความเจ็บปวดหรืออันตรายใดๆ ต่อร่างกาย เพียงแต่จะส่งผลในด้านความสวยงามและความมั่นใจเท่านั้น ซึ่งถ้าใครทำงานที่ต้องใช้ความสวยงามของร่างกายหรือต้องใส่ชุดที่เปิดเผยผิวในส่วนที่แตก แล้วไม่มั่นใจก็ลองหาวิธีการรักษารอยแตกลายที่เหมาะสมกับตัวเอง เพราะบางวิธีอาจจะใช้ได้ผลกับคนอื่น แต่ไม่ได้ผลกับตัวเองก็ได้ ส่วนใครที่ผิวหนังเกลี้ยงเกลา ทางเราขอแนะว่าให้ดูแลรักษาผิวอย่างสม่ำเสมอ ระวังอย่าให้น้ำหนักขึ้นหรือลงเร็วจนเกินไป ไม่อย่างนั้นรอยแตกลายจะมาหาคุณโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัวนั่นเอง