สมุนไพรน่ารู้ อายุรวัฒน์เวชศาสตร์ September 20, 2018 Share 0 Tweet Pin 0 สมุนไพรรักษามะเร็งตับ “เบญจอำมฤต” ตำรับยารักษามะเร็งตับ ฉบับโบราณ"โรคมะเร็งตับ" เป็นที่พบได้ในอัตราสูงสำหรับชายไทย สาเหตุเกิดจากการติดสุราเรื้อรัง การที่มีภาวะตับแข็งหรือการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบางชนิด โรคนี้เป็นสาเหตุการตายที่สำคัญอย่างหนึ่งเนื่องจากโรคมะเร็งตับเป็นโรคที่แสดงอาการได้ช้ามากๆ กว่าจะทราบว่าเป็น...ส่วนใหญ่มะเร็งลุกลามไปเกิน 70% แล้วจึงตรวจเจอ และวิธีรักษาที่ดีที่สุดคือการผ่าตัด ก็ยังมีโอกาสกลับมาเป็นซ้ำได้ถึง 50% ถือว่าเป็นโรคที่อันตรายและคร่าชีวิตคนไปมากเลยทีเดียว ด้วยเหตุนี้ เราชาวสุขภาพดีจึงนำเอา สมุนไพรที่ช่วยรักษามะเร็งตับ ป้องกันอาการท้องมาน ท้องโต แต่ผู้ป่วยโรคมะเร็งตับมาฝากค่ะ ภาวะที่มักพบร่วมกับมะเร็งตับสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดโรคมะเร็งตับคือการดื่มของดื่มที่มีแอลกอฮอล์ และการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบชนิดบีหรือซี ดังนั้นอาการที่มักพบร่วมกันก็จะเป็นอาการที่มาจากภาวะตับอักเสบหรือตับแข็ง เช่น ท้องมาน ท้องโต มีน้ำในช่องท้อง เส้นเลือดขอดในกระเพราะอาหารและหน้าท้อง สำหรับในรายที่ม้ามโตบางคนอาจมีการทำลายเม็ดเลือด ทำให้ผู้ป่วยมีภาวะเลือดจาง เกล็ดเลือดต่ำ ส่วนในผู้ที่มีอาการตับแข็ง ระบบแข็งตัวของเลือดจะแย่ลง ทำเลือดออกง่ายและหยุดยาก โดยรวมแล้วมะเร็งตับเป็นโรคที่อันตรายมาก เพราะว่าถึงแม้จะทราบสาเหตุและกระบวนการเกิดโรค แต่การรักษาให้หายขาดจริงๆ นั้นทำได้ยาก ดังนั้นการรักษามะเร็งตับที่ดีที่สุดคือการป้องกันไม่ให้เป็นนั่นเอง4 สมุนไพรรักษามะเร็งตับเบญจอำมฤต เป็นยาตามตำรับโบราณ ชื่อมีที่มาจากส่วนผสมหลักซึ่งเป็นสมุนไพร 5 ชนิดผสมกันอันได้แก่ มหาหิงคุ์ ดีเกลือ รากตองแตก รงทองและยาดำ อาจจะมีส่วนผสมอื่นซึ่งไม่นับว่าเป็นสมุนไพรหลักเพราะเป็นแค่เครื่องช่วยเตรียมยา เช่น มะกรูด ซึ่งจะไม่กล่าวถึงก็ไม่ได้เพราะถ้าหากไม่ใส่ก็อาจจะส่งผลให้การออกฤทธิ์ของยาเปลี่ยนแปลงเช่นกัน ยาตำรับนี้จะมีสรรพคุณเป็นยาถ่ายอย่างแรง จึงมีการใส่สมุนไพรอย่างอื่นลงไปเพิ่มเติมเพื่อปรับสมดุลธาตุในร่างกาย ซึ่งก็คือ พริกไทย ดีปลีและขิง ส่วนสรรพคุณของส่วนผสมหลักสมุนไพรแต่ละชนิดมีดังนี้ค่ะ1. ดีเกลือ (สมุนไพรรักษมะเร็งตับ) ในตอนแรกนั้นใช้ดีเกลือไทยแต่ว่าเนื่องจากทำให้ผู้ป่วยมีภาวะบวมน้ำและมีปัญหากับไตจึงเปลี่ยนไปใช้ดีเกลือฝรั่งหรือแมกนีเซียมซัลเฟตแทน ดีเกลือฝรั่งมีสรพคุณช่วยปรับสมดุลน้ำในร่างกาย ช่วยกักเก็บน้ำภายในเซลล์ร่างกาย ลดอาการปวดหัว แก้ตะคริวและบรรเทาอาการท้องถูกโดยมีฤทธิ์เป็นยาระบาย ซึ่งจะออกฤทธิ์มากเพียงครึ่งหรือหนึ่งชั่วโมงหลังทาน ข้อควรระวังสำหรับการใช้ดีเกลือฝรั่งคือ ผู้ป่วยโรคไต ไม่ควรรับประทาน2. ยาดำ (สมุนไพรรักษมะเร็งตับ) ได้จากการเคี่ยวยางของว่านหางจระเข้ เป็นยาที่ออกฤทธิ์ช้ากว่าดีเกลือฝรั่งมากโดยจะเคลื่อนที่ไปตามลำไส้อย่างปกติ แต่จะไปออกฤทธิ์กระตุ้นให้ลำไส้บีบตัวอีกทีตอนยาดำเคลื่อนที่ไปถึงลำไส้ส่วนล่าง ดังนั้นหากใช้ร่วมกับดีเกลือฝรั่งแบบผสมกันปกติ จะทำให้ไม่ได้ประโยชน์จากยาดำเพราะลำไส้ถูกกระตุ้นให้บีบตัวและถ่ายออกอย่างรวดเร็ว แต่ตามตำรับยาหากจะใช้ยาสองประเภทนี้ร่วมกัน การเตรียมยาดำต้องทำโดยการนำไปยัดในผลมะกรูดที่พอกไว้ด้วยมูลวัว จากนั้นนำไปเผาไฟ สารแอนทราควิโนนในยาดำจะทำปฏิกิริยากับกรดและความร้อนจนกลายเป็นตัวยาที่ออกฤทธิ์และใช้ร่วมกันกับดีเกลือฝรั่งได้นั่นเอง ยาดำเมื่อทานเข้าแล้วอาจจะทำให้เกิดอาการคลื่นไส้ อาเจียนและปวดมวนท้องได้3. รากตองแตก (สมุนไพรรักษมะเร็งตับ) รากตองแตกมีสรรพคุณเป็นยาระบายอย่างอ่อน รวมทั้งทั้งตำรายาไทยและตำรายาอินเดียวบอกว่ารากตองแตกช่วยรักษาอาการบวมน้ำ ม้ามอักเสบและดีซ่าน แต่ไม่ควรใช้ส่วนเมล็ดเด็ดขาดเพราะมีฤทธิ์รุนแรงกว่าส่วนรากหลายเท่าตัว4. รงทอง (สมุนไพรรักษมะเร็งตับ) ตัวยานี้เป็นสารสกัดที่สกัดได้จากยางของต้นรงทอง มีตัวยาที่มีฤทธิ์แรงมาก ก่อนจะนำมาใช้ต้องทำให้ฤทธิ์อ่อนลงก่อนโดยใช้วิธีเดียวกันกับการเตรียมยาดำนั่นเอง มีงานวิจัยหลายงานวิจัยศึกษาพบว่ายางของต้นรงทองมีคุณสมบัติช่วยยับยั้งเซลล์การเจริญเติบโตของของเซลล์มะเร็งตับและมะเร็งชนิดอื่นๆ ได้อีกหลายชนิด ส่วนการทำให้ฤทธิ์อ่อนลงมีอีกวิธีคือ นำมาห่อใบตองหรือใบบัวแล้วนำมาปิ้งไฟหลายคนอาจจะเกิดคำถามได้ว่าทำไมตัวยาสมุนไพรรักษมะเร็งตับส่วนใหญ่มักมีฤทธิ์เป็นยาระบายเป็นหลัก ในตำรายาได้กล่าวไว้ว่า การรักษาโรคนี้มีหลักการคือให้ร่างกายขับถ่ายของเสียออกมาให้หมดก่อนแล้วค่อนจ่ายยาเพื่อรักษาในขั้นต่อไป ผู้ป่วยมะเร็งตับมักมีอาการท้องมาน ท้องโตจากการสะสมของน้ำ การทานยาตำรับนี้จะช่วยลดอาการอึดอัดไม่สบายตัวของผู้ป่วย ช่วยลดความดันในช่องท้องเพราะมีการถ่ายมากขึ้น ทำให้ท้องมานน้อยลง ส่วนการรักษาโรคมะเร็งตับนั้นยังต้องการงานวิจัยสนับสนุนข้อมูลอีกมากรวมทั้งต้องมีการปรุงยาที่ถูกต้องด้วย ดังนั้นหากใครต้องการรักรักษาด้วยยาเบญจอำมฤต ควรปรึกษาแพทย์และรักษาควบคู่ไปพร้อมกันกับแพทย์แผนปัจจุบันเพื่อการรักษาที่มีประสิทธิภาพสูงสุด