free web tracker, fire_lady “กลิ่นตัวแรง” อายเขา…ถ้าเต่าออกกลิ่น รีบรู้วิธีกำจัดด่วน!! • สุขภาพดี

กลิ่นตัวแรง” อายเขา...ถ้าเต่าออกกลิ่น รีบรู้วิธีกำจัดด่วน!!

กลิ่นตัวแรง

คนเราทุกคนเกิดมาย่อมมีหลายสิ่งหลายอย่างที่แตกต่างกัน แม้แต่เรื่องเล็กๆ ที่หลายคนอาจมองข้าม คือ "กลิ่นตัว" ของตัวเอง กลิ่นตัวของแต่ละคนนั้นอาจมีกลิ่นที่ไม่เหมือนกัน แต่ปัญหามันอยู่ที่ว่าหากเราเป็นคนมีกลิ่นตัวที่แรงแต่เรากลับไม่รู้ตัว เนื่องจากความคุ้นชิน แต่กลับไปสร้างความรำคาญใจให้กับผู้อื่น หรือสร้างความอับอายให้กับตัวเอง ดังนั้นเราจึงควรรู้ถึงสาเหตุว่าปัญหากลิ่นตัวแรงนี้เกิดมาจากอะไร มีวิธีการรักษาอย่างไร และมีตัวช่วยในการลดกลิ่นตัวอะไรบ้าง วันนี้เรามีคำตอบมาฝากกัน

ที่มาของเหงื่อ/ ต่อมเหงื่อ

โดยปกติแล้วร่างกายของเรานั้นจะมีต่อมเหงื่ออยู่ด้วยกัน 2 ต่อม ได้แก่

1. ต่อม Eccrine เป็นต่อมเหงื่อชนิดที่ไม่มีกลิ่น จะผลิตเหงื่อที่มีลักษณะใสเหมือนน้ำ ซึ่งเหงื่อชนิดนี้จะถูกขับออกมาเมื่อมีการทำกิจกรรมหนักๆ หรือในขณะอากาศร้อน เพื่อเป็นการรักษาอุณหภูมิในร่างกาย

2. ต่อม Apocrine เป็นต่อมเหงื่อชนิดที่มีกลิ่น จะพบอยู่บางแห่งของร่างกาย พบมากที่สุดคือศีรษะ รักแร้ ขาหนีบ ก้น และแผ่นหลัง จะผลิตเหงื่อที่มีลักษณะเหนียวใส มีส่วนผสมของไขมันอยู่มาก ซึ่งเมื่อเหงื่อชนิดนี้ถูกขับออกมาจะก่อให้เกิดกลิ่นไม่พึงประสงค์ได้ ในเพศชายและเพศหญิงมีความแตกต่างกัน คือ เพศหญิงจะมีต่อมเหงื่อมากกว่าเพศชาย แต่เพศชายจะขับเหงื่อออกมามากกว่าเพศหญิง

สาเหตุของการเกิดกลิ่นตัว

1. อาหารบางชนิดก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้มีกลิ่นตัวแรง โดยเฉพาะในกลุ่มอาหารพวกเครื่องเทศ และอาหารกลุ่มที่มีโคลีนสูงๆ เช่น เนื้อสัตว์ ตับ ไข่ พืชประเภทผักถั่ว เต้าเจี้ยว แฮม ปลาทูน่า เป็นต้น หรือแม้แต่อาหารที่มีรสจัดก็ตามล้วนทำให้เกิดกลิ่นตัวทั้งสิ้น เพราะมีผลทำให้ต่อเหงื่อขับไขมันออกมาในปริมาณมาก โดยเฉพาะบริเวณรักแร้ ดังนั้นผู้ที่ชอบรับประทานอาหารจำพวกนี้จึงมักเป็นบุคคลที่มีกลิ่นตัว

2. การทำความสะอาดมากจนเกินไปก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ปัญหากลิ่นตัวแรง เช่น การใช้สบู่ต้านเชื้อแบคทีเรีย การสครับผิว หรือการใช้แอลกอฮอล์เช็ดทำความสะอาด เพราะสิ่งเหล่านี้ล้วนแต่จะทำให้ผิวของคุณแห้งและแตก ดังนั้นจึงทำให้ต่อมเหงื่อต้องทำงานหนักมากขึ้นเพื่อผลิตเหงื่อให้มากขึ้น เพื่อสร้างความชุ่มชื้นให้แก่ผิว แต่ผลที่ตามมาคือกลิ่นตัวที่มากขึ้นด้วยเช่นกัน

3. เรื่องของอารมณ์เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ก่อให้เกิดปัญหากลิ่นตัวแรง สังเกตได้จากในขณะที่เราต้องอยู่ในสถานการณ์ที่มีความเครียดมากๆ  หรือโกรธมากๆ หรือตกใจมากๆ จะมีเหงื่อออกมาค่อนข้างมาก โดยเฉพาะรักแร้ ขาหนีบ หรือฝ่ามือ ดังนั้นเมื่อเหงื่อออกมามากๆ จึงส่งผลให้เกิดกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์ที่ตามมาด้วย นอกจากนี้ยังมีปัจจัยย่อยๆ ที่ก่อให้เกิดปัญหากลิ่นตัวแรง เช่น ฮอร์โมน เป็นสาเหตุหนึ่งที่ก่อให้เกิดกลิ่นตัวที่รุนแรงในพวกวัยรุ่น ความผิดปกติบางอย่างของร่างกายที่ส่งผลให้เกิดกลิ่นได้ วัยทอง การรับประทานยาบางชนิดในกลุ่มของ Benzoyl Peroxide การสวมเสื้อผ้าที่ไม่ระบายเหงื่อหรืออมเหงื่อ หรืออากาศร้อนทำให้เกิดแบคทีเรียสะสมตามตัวได้ง่าย

29 วิธีดับกลิ่นตัวแรง แบบเอาอยู่

วิธีการดับกลิ่นตัวนั้นมีอยู่ด้วยกันหลายวิธีมาก ดังนั้นควรเลือกวิธีการดับกลิ่นตัวที่เหมาะสมกับสาเหตุการเกิดกลิ่นตัว ส่วนจะมีวิธีการดับกลิ่นตัวอย่างไรบ้างนั้นไปดูกันเลย

1. อาบน้ำให้สะอาดอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง โดยจะต้องอาบอย่างทั่วถึงทุกซอกทุกมุมในร่างกาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในจุดอับชื้นหรือตามข้อพับ และใช้สครับรักแร้อาทิตย์ละ 3 ครั้ง วิธีนี้เป็นวิธีกำจัดกลิ่นตัว
ที่ได้ผลมากที่สุด

วิธีแก้ปัญหากลิ่นตัวแรง

2. เลือกใช้สบู่ที่ช่วยยับยั้งเชื้อแบคทีเรียโดยตรง เน้นฟอกบริเวณที่มีการหมักหมมของเหงื่อ

3. หลังการปัสสาวะหรืออุจจาระแล้ว ควรล้างทำความสะอาดอวัยวะเพศและเช็ดให้แห้ง

4. สำหรับสตรีที่มีประจำเดือนควรล้างอวัยวะเพศให้สะอาดและหมั่นเปลี่ยนผ้าอนามัยอยู่เสมอ

5. โกนขน ไม่ว่าจะเป็นขนรักแร้ของผู้หญิง หรือผู้ชายบางคนจะมีขนขึ้นตั้งแต่แผงอกไล่ลงมายันขนหน้าแข้ง เพราะขนก็เป็นแหล่งสะสมเชื้อแบคทีเรียจนก่อให้เกิดกลิ่นได้

6. หากรู้ตัวว่าเป็นคนที่เหงื่อออกง่ายหรือออกมากอยู่แล้ว ก็ควรเลือกอยู่ในสถานที่ที่มีอากาศถ่ายเทไม่ร้อน เพราะจะได้มีมีเหงื่อออกมาก

7. เปลี่ยนเสื้อผ้าทุกวัน รวมถึงชุดชั้นในและถุงเท้าด้วย เพราะหากเราใส่เสื้อชุดเดิมก็จะทำให้เกิดกลิ่นอันไม่พึงประสงค์ได้

8. เลือกใส่เสื้อผ้าหลวมๆ เพราะเสื้อผ้าที่คับพอดีตัว จะทำให้มีเหงื่อออกมากและมีการระบายอากาศได้ไม่ดี จนทำให้เกิดกลิ่นตัวได้

9. เลือกใช้เนื้อผ้าจากธรรมชาติ โดยเส้นใยจากธรรมชาติอย่างคอตตอนและลินิน จะช่วยระบายอากาศได้ดีกว่าใยสังเคราะห์

10. ทำความสะอาดเสื้อผ้าให้ดีโดยเฉพาะที่มีกลิ่นติดอยู่ แนะนำให้ซักมือและเน้นบริเวณใต้วงแขน ส่วนตอนตากผ้าก็ควรตากที่ในโล่งโปร่งและตากให้แห้งสนิท

11. การใช้ผ้าขนหนูหรือผ้าเช็ดหน้ามาชุบน้ำแล้วบิดให้หมาด หยดน้ำหอมลงไปเล็กน้อย แล้วนำมาเช็ดตามร่างกาย ใต้วงแขน ข้อพับ และแผ่นหลังให้ทั่ว วิธีนี้จะช่วยขจัดกลิ่นได้

12. ไม่ควรขัดผิวบ่อยๆ เพราะการขัดผิวจะทำให้แบคทีเรียที่มีประโยชน์ต่อร่างกายถูกทำลาย ก่อให้เกิดกลิ่นตัวได้ง่าย

13. ผ่อนคลายความเครียด เพราะอารมณ์มีส่วนทำให้เกิดกลิ่นตัวได้ ดังนั้นจึงควรหาอะไรทำเพื่อผ่อนคลายความเครียด

14. เลือกรับประทานอาหารให้หลากหลายและมีประโยชน์ รับประทานโปรตีนจำพวกธัญพืชต่างๆ ผักสด ผลไม้สด โดยเฉพาะแก้วมังกร รวมไปถึงอาหารที่มีธาตุสังกะสีหรือแมกนีเซียม

15. หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารที่มีกลิ่นแรง อาหารจำพวกเนื้อสัตว์ แกงกะหรี่ กระเทียม ชะอม สะตอ ทุเรียน เครื่องเทศต่างๆ รวมทั้งช็อกโกแลต ลูกเกด ถั่วลิสง หากจะรับประทานก็ควรรับประทานให้พอเหมาะ ไม่รับประทานมากจนเกินไป

16. ดีทอกซ์ (Detox) สารพิษที่สะสมอยู่ในร่างกายก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งของการเกิดกลิ่นตัวได้ การดีทอกซ์เป็นประจำก็อาจจะช่วยแก้ปัญหานี้ได้

17. การเลือกใช้แป้งดับกลิ่นตัว ที่นิยมกันมากจะมีอยู่ 2 ยี่ห้อ คือ แป้งตราเต่าเหยียบโลกและแป้งสะอาด โดยนำมาใช้ทาให้ทั่วโดยเฉพาะบริเวณรักแร้ สามารถหาซื้อได้ตามร้านค้าทั่วไป

18. การใช้น้ำหอม โรลออน สเปรย์ระงับกลิ่นตัว โดยให้ใช้ฉีดหรือทาให้ทั่วร่างกายเพื่อระงับกลิ่น แม้ไม่ใช่การแก้ปัญหาที่ตรงจุด แต่ก็ถือว่าได้ผลในระดับดี

19. น้ำยาระงับกลิ่นกาย หรือ ดีโอโดแรนท์ (Deodorant) โดยน้ำยาระงับกลิ่นกายเป็นสารเคมีที่มีฤทธิ์ยับยั้งเชื้อแบคทีเรียได้ ยับยั้งกระบวนการที่ทำให้เกิดกลิ่น ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่าให้เปลี่ยนยี่ห้อหรือสูตรน้ำยาระงับกลิ่นกายทุกๆ 6 เดือน เนื่องจากร่างกายสามารถต่อต้านสารระงับเหงื่อเหล่านั้นได้

20. ยาระงับเหงื่อ หรือ แอนตีเพอร์สไปแรนท์ (antiperspirant) ให้เลือกใช้แบบที่ไม่มีส่วนผสมของน้ำหอม เพราะจะทำให้เกิดการอักเสบและทำให้รักแร้ดำ โดยยาทาชนิดนี้จะทำให้เกิดการอุดตันในท่อเหงื่อและลดการไหลของเหงื่อได้ ทางที่ดีคุณควรไปพบแพทย์เพื่อปรึกษาการใช้

21. สารส้ม (Focal) ของดีที่ช่วยดับกลิ่นอันไม่พึงประสงค์ใต้วงแขนได้อย่างดีเยี่ยม ใช้หลังอาบน้ำ นอกจากจะสามารถช่วยดับกลิ่นได้อย่างอยู่หมัดแล้วนั้นยังช่วยให้รักแร้ขาวด้วย

22. ปูนแดงก็ใช้ลดกลิ่นตัวได้ ด้วยการใช้ปูนแดงผสมกับน้ำทารักแร้หลังอาบน้ำ หรือจะใช้ปูนแดงและใบตำลึงนำมาตำผสมกัน ใช้พอกรักแร้ทิ้งไว้ประมาณ 20 นาทีแล้วล้างออก หากทำเป็นประจำกลิ่นตัว
ก็จะหายไป อีกทั้งยังทำให้ขนรักแร้ลดน้อยลงอีกด้วย

23. เบคกิ้งโซดาหรือผงฟูก็ช่วยขจัดกลิ่นตัวได้ โดยให้นำเบคกิ้งโซดามาผสมกับน้ำเล็กน้อยให้พอข้น แล้วนำมาทาบริเวณรักแร้ทิ้งไว้ประมาณ 10 นาที แล้วล้างออก เมื่อทำเป็นประจำจะช่วยให้กลิ่นตัวลดลง

24. วิตามินและแร่ธาตุ ก็ช่วยต้านกลิ่นตัวได้ เช่น วิตามินซีที่ช่วยผ่อนคลายความเครียด ซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดกลิ่นตัว หรือเลือกรับประทานวิตามินบี 1 รับประทานวิตามินบีคอมเพล็กซ์ 25,000 I.U. นอกจากนี้วิตามินบี 6 สังกะสี และแมกนีเซียมก็ช่วยได้เช่นกัน

25. โบทอกซ์ (Botox) สำหรับผู้ที่มีกลิ่นตัวแรงมากจนวิธีไหนก็เอาไม่อยู่ การรักษาด้วยวิธีการฉีดโบทอกซ์ก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่สามารถช่วยลดเหงื่อบริเวณรักแร้ได้ดี ส่งผลให้มีกลิ่นตัวลดลง แต่จะต้องฉีดยาซ้ำเรื่อยๆ ทุก 3 - 6 เดือน และราคาต่อครั้งก็ค่อนข้างสูง

26. Miradry เป็นการรักษาโดยใช้อุปกรณ์ทางการแพทย์ที่มีประสิทธิภาพและปลอดภัย คือการใช้ปืนไมโครเวฟทำลายต่อมเหงื่อใต้วงแขนอย่างถาวร ซึ่งจะไม่ส่งผลเสียอย่างแน่นอน ไม่เพียงแต่วิธีนี้จะช่วยแก้ปัญหาเรื่องกลิ่นเหงื่อใต้วงแขนได้แล้วยังช่วยกำจัดขนรักแร้ใต้วงแขนได้อีกด้วย

27. คลื่นความถี่วิทยุ (Radio Frequency: RF) การทำงานโดยการใช้คลื่นความถี่วิทยุเข้าไปทำลายต่อมกลิ่นและต่อมเหงื่อให้หยุดการทำงานอย่างถาวร และยังช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในชั้วผิวหนัง ทำให้ผิวตึงกระชับและมีความยืดหยุ่นได้อีกด้วย

28. ไอออนโต (Iontophoresis) การทำไอออนโตที่ฝ่ามือและฝ่าเท้าสามารถรักษาภาวะเหงื่อออกมาจากฝ่ามือและฝ่าเท้าได้ โดยการใช้มือแช่น้ำแล้วผ่านกระแสไฟฟ้าอ่อนๆ ประมาณ 30 นาทีต่อครั้ง และต้องทำซ้ำหลายครั้ง ๆ

29. เลเซอร์ YAG เป็นเลเซอร์ที่ใช้กำจัดขนรักแร้เป็นหลัก และมีผลพลอยได้คือช่วยกำจัดกลิ่นรักแร้ไปได้ในตัวด้วย

8 สมุนไพรช่วยดับกลิ่นตัวแรง

1. โรสแมรี่ (สมุนไพรช่วยดับกลิ่นตัว) แม้จะเป็นสมุนไพรของต่างประเทศ แต่เราก็พอสามารถหาได้ โรสแมรี่มีสรรพคุณในการกำจัดเชื้อแบคทีเรียและเชื้อราได้เป็นอย่างดี ดังนั้นกลิ่นตัวที่เกิดขึ้นจากเชื้อแบคทีเรียที่หมักหมมอยู่ใต้วงแขนของเราก็จะไม่เกิดเมื่อใช้โรสแมรี่ ส่วนวิธีการก็ไม่ยาก เพียงผสมใบโรสแมรี่แห้งประมาณ 1/2 ถ้วยตวง คั้นในน้ำประมาณ 4 ถ้วยตวง แล้วนำไปผสมน้ำอาบเป็นประจำทุกวันเท่านี้ก็ช่วยได้แล้ว

สรรพคุณ ประโยชน์ของโรสแมรี่

2. ออริกาโน่ (สมุนไพรช่วยดับกลิ่นตัว) ออริกาโน่ก็มีคุณสมบัติต้านแบคทีเรียและเชื้อราเหมือนกัน วิธีการใช้ก็คือ ผสมออริกาโน่ลงในน้ำที่ใช้อาบหรือแช่ เท่านี้ก็หมดปัญหากลิ่นตัวแรงแล้ว แต่เนื่องจากออริกาโน่มีสารที่ทำปฏิกิริยากับยาป้องกันการแข็งตัวของเลือดได้ ดังนั้นคนที่ใช้ยานี้อยู่อาจต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ

ออริกาโน่-สมุนไพรดับกลิ่นตัวแรง

3. อบเชย ขิง ลูกจันทน์ (สมุนไพรช่วยดับกลิ่นตัว) มีสรรพคุณต้านแบคทีเรียเหมือนกัน เพียงแค่ใช้ผงขิง อบเชย หรือลูกจันทน์เทศบดละเอียดผสมกับเบกกิ้งโซดาให้เข้ากันแล้วนำมาทาเป็นแป้งที่ใต้วงแขน เพียงเท่านี้ก็หมดห่วงเรื่องกลิ่นตัวแรงได้เลย

4. น้ำมันหอมระเหย วิธีดับกลิ่นตัวโดยใช้น้ำมันหอมระเหยกลิ่นลาเวนเดอร์ หรือน้ำมันหอมระเหยกลิ่นอื่นๆ มาฉีดใต้วงแขนก็พอช่วยได้ แต่ทั้งนี้ก็อย่าลืมทดสอบอาการแพ้ก่อนใช้ เพราะน้ำมันหอมระเหยซึมเข้าสู่ผิวหนังได้เร็ว

5. มะนาว กรดในมะนาวจะช่วยลดค่า pH ของผิวใต้วงแขนได้ ส่งผลให้แบคทีเรียเติบโตได้ยาก โดยวิธีใช้ก็คือ หั่นมะนาวเป็น 2 ซีก จากนั้นคั้นน้ำมะนาว 1 ซีกมาผสมกับน้ำสะอาด 1/2-1 ถ้วยตวง แล้วทาให้ทั่ววงแขน เพียงเท่านี้ก็สามารถช่วยปัยหากลิ่นใต้วงแขนได้

6. ที ทรี ออยล์ (สมุนไพรช่วยดับกลิ่นตัว) มีคุณสมบัติต้านเชื้อแบคทีเรียและมีฤทธิ์คล้ายยาปฏิชีวนะอ่อนๆ ซึ่งสามารถกำจัดแบคทีเรียที่เกิดกับผิวหนังของเราได้ ทั้งยังช่วยระงับเหงื่อใต้วงแขนด้วย วิธีการใช้คือหยด ทีทรี ออยล์  2 หยดต่อน้ำสะอาด 2 ช้อนโต๊ะ จากนั้นเทส่วนผสมลงกระบอกสเปรย์ ใช้ฉีดเป็นน้ำหอมระงับกลิ่นกายได้

7. เปลือกมังคุด มีสารแมงโกสตินที่ช่วยลดอาการอักเสบและมีฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรีย โดยวิธีใช้ให้นำเปลือกมังคุดแห้ง 1 ส่วน ต้มกับน้ำ 3 ส่วน จากนั้นเคี่ยวไปเรื่อยๆ จนปริมาณน้ำลดลงเกินครึ่งแล้วค่อยกรองเอากากออก จากนั้นนำไปผสมกับน้ำเปล่า 20 ลิตรแล้วใช้อาบ จะช่วยลดปัญหากลิ่นตัวแรงได้

8. มะขามเปียก (สมุนไพรช่วยดับกลิ่นตัว) นอกจากจะมีฤทธิ์กำจัดกลิ่นไม่พึงประสงค์แล้ว มะขามเปียกยังจะช่วยกำจัดเซลล์ผิว ที่ตายแล้วไม่ให้เกิดการหมักหมมเป็นแหล่งสะสมของเชื้อแบคทีเรีย โดยวิธีใช้เพียงคั้นน้ำมะขามเปียกปริมาณพอเหมาะ จากนั้นกรองด้วยผ้าขาวบาง แล้วใช้น้ำมะขามแทนสบู่ตอนอาบน้ำ จากนั้นก็ล้างออกให้สะอาด

จากที่ได้กล่าวมาแล้วนั้น แม้ปัญหาการมีกลิ่นตัวแรงอาจไม่ใช่อาการที่อันตรายอะไร เพียงแต่สร้างความรำคาญใจให้กับคนรอบข้าง และสร้างความอับอายให้กับตัวเราเอง ดังนั้นการแก้ปัญหานี้จึงเป็นเรื่องที่จำเป็นในชีวิตประจำวัน ดังนั้นใครที่มีปัญากลิ่นตัวแรงควรรีบเลือกวิธีการที่เหมาะสมกับตัวเราและได้ผลถาวร เพราะหากขืนปล่อยไว้จะส่งผลเสียต่อบุคลิกภาพเป็นอย่างมาก