free web tracker, fire_lady 19 วิธีรักษาฝ้า…ไม่อยากมีฝ้า ใบหน้าหมองคล้ำ ต้องทำอย่างไร? • สุขภาพดี

19 วิธีรักษาฝ้า...ไม่อยากมีฝ้า ใบหน้าหมองคล้ำ ต้องทำอย่างไร?

วิธีรักษาฝ้า ใบหน้าหมองคล้ำ

ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีสภาพอากาศร้อนชื้นมาก การหลีกเลี่ยงแสงแดดทำได้ยาก เพราะหันไปทางไหนก็เจอแต่แดด การมีผิวหน้าที่เนียนใสถือเป็นเรื่องยากไม่น้อยในสภาวะอากาศเช่นนี้ เพราะแดดนอกจากจะทำร้ายให้ผิวหน้าหมองคล้ำ สิวขึ้น รวมไปถึงผดผื่นร้อนต่างๆ แล้ว ยังก่อให้เกิด "ฝ้า" ได้อีกด้วย เพราะฝ้าจัดเป็นกลไกร่างกายอย่างหนึ่งที่เกิดขึ้นเพื่อปกป้องตัวเองจากแสงแดดนั่นเอง

แต่แหม ถึงจะรู้ว่าที่ร่างกายกระตุ้นให้เกิด "ฝ้า" เพราะต้องการกรองรังสีไม่ให้ทำร้ายผิว แต่ไอ้ฝ้าที่เป็นปื้นดำๆ ก็ยากที่จะทำใจยอมรับเสียเหลือเกิน ใครก็อยากมีผิวหน้าเนียนใสดุจสาวเกาหลี แต่ด้วยความแตกต่างด้านสภาพภูมิอากาศทำให้ฝ้ามาเยือนโดยที่เราไม่ได้เต็มใจ ถึงเวลาแล้วที่จะกำจัดฝ้า รักษาฝ้า ป้องกันฝ้า ด้วยสารพัดวิธีที่นำมาฝากกันในวันนี้

มารู้จักฝ้ากันหน่อยดีไหม?

ฝ้า (Melasma) เป็นกระบวนการที่การผลิตเม็ดสีผิวทำงานผิดปกติ ทำให้สีผิวคล้ำและไม่สม่ำเสมอ มีลักษณะเป็นผื่นผิวหนังสีน้ำตาลคล้ำ กระบวนการเกิดคล้ายคลึงกับกระแต่ว่ากระจายเป็นวงกว้างกว่า สามารถมองเห็นได้ชัด พบได้ทั่วใบหน้าแต่มักพบที่บริเวณโหนกแก้มมากกว่าส่วนอื่น

สาเหตุของการเกิดฝ้า

สาเหตุหลักของการเกิดฝ้าเกิดจาก แสงแดด ผิวหนังของคนเรามีเม็ดสีผิวที่เรียกว่า เมลานิน ซึ่งทำหน้าที่กรองรังสียูวีไม่ให้มาทำร้ายผิวโดยตรงได้ เมื่อได้รับแสงแดดมาก ผิวจะสร้างเม็ดสีผิวมากจนดำคล้ำนั่นเอง แต่ว่าฝ้ายังสามารถเกิดสาเหตุอื่นๆ ได้อีกหลายสาเหตุ เช่น การรับประทานยาบางชนิด (ยาคุมกำเนิดหรือยาฮอร์โมนรวม) การแพ้เครื่องสำอาง พันธุกรรมและการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนแบบเฉียบพลัน (เช่น การตั้งครรภ์ การเข้าสู่วัยทองหรือการหมดประจำเดือน)

ประเภทของฝ้า

1. ฝ้าตื้น เป็นฝ้าที่ลึกแค่ในระดับผิวหนังชั้นนอก มีสีน้ำตาล ขอบชัด รักษาให้หายได้ง่ายในเวลาไม่นาน

2. ฝ้าลึก เป็นฝ้าที่ลึกกว่าระดับผิวหนังชั้นนอก ขอบมองไม่เห็นชัดเจนจึงทำให้ฝ้ามีสีน้ำตาลอมม่วงหรือน้ำตาลอมฟ้าเพราะความลึกของฝ้า รักษาให้หายขาดได้ยากมาก ใช้เวลานาน และอาจจะทำให้จางได้ลงเท่านั้น

3. ฝ้าผสม คือฝ้าที่มีลักษณะของทั้งฝ้าตื้นและฝ้าลึกรวมกัน

ชนิดของฝ้า- ฝ้าตื้น ฝ้าลึก ฝ้าผสม

19 วิธีการรักษาฝ้า แบบเคล็ดไม่ลับ

1. มะนาวรักษาฝ้า มะนาวเป็นพืชสมุนไพรที่อุดมไปด้วยวิตามินและกรดผลไม้ธรรมชาติอย่าง AHA  ซึ่งมีคุณสมบัติในการช่วงเร่งผลัดเซลล์ผิวเก่าที่หมองคล้ำออก การรักษาฝ้าด้วยมะนาวมีหลายสูตรให้เลือกใช้ เช่น การใช้น้ำมะนาวเพียงอย่างเดียว หรือมะนาวผสมน้ำผึ้งมาพอกใบหน้า ทิ้งไว้สักครู่แล้วล้างออก หากบ้านใครมีดินสอพองก็สามารถนำมาผสมน้ำมะนาวพอข้นๆ แล้วพอกหน้าได้เช่นเดียวกัน มะนาวจะช่วยให้ผิวขาวขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ สำหรับส่วนผสมอื่นก็จะช่วยบำรุงผิวค่ะ

2. มะขามเปียกรักษาฝ้า อีกหนึ่งที่พืชใกล้มือที่เหล่าสาวๆ ทราบกันอยู่แล้วว่า มีคุณสมบัติที่ช่วยให้ผิวขาวเนียนใส ซึ่งสามารถนำมาใช้รักษาฝ้าได้เช่นกันเดียวกัน ลองนำมะขามเปียกผสมน้ำผึ้งหรือโยเกิร์ต คนให้เข้ากันแล้วนำมาพอกหน้า นวดเบาๆ แล้วทิ้งเอาไว้ 5-10 นาที จากนั้นล้างออกด้วยน้ำสะอาด สำหรับใครที่ผิวบางหากรู้สึกแสบมากก็สามารถล้างออกก่อนได้ค่ะ มะขามเปียกมีวิตามินซี ช่วยให้ผิวใสขึ้น มีกรด AHA ช่วยเร่งการผลัดเซลล์ผิว ทำให้ฝ้าจางลงนั่นเอง

3. หัวไชเท้ารักษาฝ้า คุณสามารถรักษาได้ง่ายๆ ด้วยการนำหัวไชเท้ามาบดหยาบๆ จากนั้นพอกหน้าทิ้งไว้ 10-20 นาที (ถ้าแสบมาก ไม่ควรพอกทิ้งไว้นาน) จากนั้นล้างออกด้วยน้ำสะอาด หลังพอกเสร็จควรประคบผิวด้วยความเย็นเพื่อให้รูชุมขนกระชับ สามารถทำได้วันเว้นวันเพื่อความต่อเนื่องในการรักษา แต่ถ้าใครมีผิวบอบบางแพ้ง่าย ควรหลีกเลี่ยงไปใช้วิธีอื่นจะดีกว่า หัวไชเท้านอกจากจะมีคุณสมบัติช่วยรักษาฝ้าแล้ว ยังช่วยต่อต้านการเกิดริ้วรอยก่อนวัยและทำให้ผิวหน้ากระจ่างใสมากขึ้นค่ะ

สมุนไพรรักษาฝ้า

4. ว่านหางจระเข้รักษาฝ้า เลือกว่านหางจระเข้ใบใหญ่ๆ ที่แก่แล้ว นำมาล้างให้สะอาด ปอกเปลือกออกแล้วนำเฉพาะวุ้นใสๆ ไปปั่นให้ละเอียด นำวุ่นปั่นที่ได้มาพอกให้ทั่วใบหน้า เน้นเยอะๆ บริเวณที่เป็นฝ้า พอกทิ้งไว้ 20-30 นาทีแล้วล้างออก ว่านหางจระเข้มีสารอาหารผิวมากมาย ช่วยให้ผิวเนียนนุ่มชุ่มชื่น ไม่ขาดน้ำ ฝ้าจะค่อยๆ จางลง สามารถทำได้บ่อยๆ เพราะว่านหางจระเข้ไม่ทำให้แสบผิวค่ะ

5. ครีมทาฝ้า เลือกใช้ผลิตภัณฑ์สำหรับรักษาฝ้าโดยเฉพาะซึ่งมีขายอยู่ทั่วไป พิจารณาครีมที่มีส่วนผสมของ AHA, กรดโคจิก, อาร์บูตินหรือวิตามินซีอย่างใดอย่างหนึ่ง เพราะส่วนผสมเหล่านี้เหล่าช่วยทำให้ฝ้าค่อยๆจางลงได้

6. ใบบัวบกรักษาฝ้า ใบบัวบกช่วยลดการอักเสบของผิว ช่วยรักษาสิว ฝ้าและกระได้ เพียงนำใบบัวบกทั้งก้านมาล้างให้สะอาด จากนั้นนำไปปั่นให้ละเอียด กรองด้วยผ้าขาวบาง เอาเฉพาะน้ำมาทำเป็นโทนเนอร์ ใช้สำลีชุบน้ำใบบัวบกที่ได้มาเช็ดหน้าแทนโทนเนอร์ทุกวัน ช่วยบำรุงผิวให้แข็งแรง ลดการเกิดฝ้าและไม่ทำให้ฝ้าขยายตัวใหญ่มากไปกว่าเดิมค่ะ

7. อาหารเสริมรักษาฝ้า เลือกทานอาหารเสริมที่มีส่วนผสมของวิตามินซี วิตามินเอ หรือวิตามินอี ช่วยบุงผิวจากภายในสู่ภายนอก ทำให้ผิวแข็งแรง ทำให้เกดฝ้าได้ยากขึ้น ป้องกันไม่ให้ฝ้าขยายตัว

8. ไข่ขาวรักษาฝ้า เลือกเฉพาะไข่ขาวมาทาบางๆ บริเวณที่เป็นฝ้า ทิ้งไว้ 10-15 นาทีแล้วล้างออก สารอาหารจากไข่ขาวจะช่วยลดเลือนรอยฝ้าให้จางลง ช่วยบำรุงผิวให้แข็งแรง ดูดซับสิ่งสกปรกออกจากผิว

9. น้ำแอปเปิ้ลไซเดอร์รักษาฝ้า หรือน้ำส้มสายชูที่ได้จากผลแอปเปิ้ล ก็สามารถช่วยรักษาฝ้าได้เช่นเดียวกัน เพราะมีกรดผลไม้หรือ AHA นั่นเอง วิธีการคือนำน้ำแอปเปิ้ลไซเดอร์มาผสมกับน้ำเล็กน้อย ใช้สำลีสะอาดชุบให้พอชุ่ม แล้วเช็ดให้ทั่วบริเวณที่เป็นฝ้า รอจนแห้ง จากนั้นล้างออกด้วยน้ำสะอาด

10. ทานยารักษาฝ้า มียาชนิดหนึ่งที่ปกติแล้วนำมาใช้รักษาโรคเลือดหยุดไหลยาก เพราะมีคุณสมบัติทำให้เลือดแข็งตัวเร็ว แต่ว่ายานี้มีฤทธิ์ในการยับยั้งเอนไซม์ Tyrosinase ที่สร้างเซลล์เม็ดสีได้ด้วย จึงมีผลทำให้ฝ้าจางลงได้ แต่อย่างไรก็ตามวิธียังเป็นการรักษาที่ไม่ได้การรับรอง และยังไม่มีรายงานเกี่ยวกับความปลอดภัยเมื่อใช้ยาไปนานๆ แต่ว่าผลข้างเคียงของมันมีมากพอสมควร คือ ปวดศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน เจ็บปวดกล้ามเนื้อ ดังนั้นอยากจะแนะนำว่าให้ใช้วิธีไปก่อนเพื่อความปลอดภัยและลดผลข้างเคียงที่จะเกิดขึ้น

11. ลอกฝ้าด้วยกรด กรดที่สามารถใช้ลอกฝ้าได้มีหลายชนิด เช่น กรด AHA , กรด TCA เป็นต้น การลอกฝ้าจะช่วยลอกเซลล์ผิวหนังและเม็ดสีเมลานินที่อยู่ชั้นบนสุดออกไป ช่วยผลัดเซลล์ผิวเก่า กระตุ้นการเกิดเซลล์ผิวใหม่ ฝ้าจึงค่อยๆ จางลง ซึ่งเป็นวิธีที่ได้ผลถึงแม้จะใช้เวลาในการรักษามากพอสมควร แต่ว่าการรักษาด้วยวิธีมีข้อเสียอย่างหนึ่งคือ ใบหน้าจะไวต่อแดดมาก ดังนั้นในขณะรักษา ต้องหลีกเลี่ยงการอยู่ท่ามกลางแสงแดด หากหลีกเลี่ยงไม่ได้ให้ทาครีมกันแดดที่มีค่า Spf สูงๆ เพื่อป้องกันไม่ให้ใบหน้าไหม้คล้ำค่ะ

12. ทายาที่มีส่วนผสมของไฮโดรควิโนน ไฮโดรควิโนนมีคุณสมบัติยับยั้งการผลิตเม็ดสี การทายาที่มีไฮโดรควิโดนอยู่จึงช่วยให้ฝ้าจางลงได้ แต่ว่าสารนี้ค่อนข้างมีอันตรายสูง ดังนั้นห้ามหาซื้อมาใช้เองเด็ดขาด (ทางอย.ก็ไม่อนุญาตให้ขาย หากมีซื้อขายได้ทั่วไปนั่นคือยาผิดกฎหมาย) ยาไฮโดรควิโนนนั้นอนุญาตให้แพทย์เป็นผู้สั่งจ่ายได้เท่านั้น

13. การฉีดสเต็มเซลล์ มีงานวิจัยหลายชิ้นบ่งชี้ว่าการฉีดสเต็มเซลล์ช่วยทำให้ฝ้าจางลงได้ ไม่ว่าจะเป็นสเต็มเซลล์จากรกแกะหรือรกเด็กก็ตาม ทั้งนี้ทั้งนั้นผู้ใดที่ต้องการรักษาด้วยวิธีนี้ควรศึกษาผลกระทบและผลข้างเคียงก่อนทำการรักษา

14. การฉีดเมโสรักษาฝ้า เป็นการฉีดยาที่ใช้รักษาฝ้าและกระลงไปใต้ผิวหนังชั้นตื้นๆ เพื่อกระจายให้ทั่วถึง การฉีดจะฉีดห่างกันไม่เกิน 1 เซนติเมตรและฉีดเฉพาะบริเวณที่เป็นฝ้าเท่านั้น การฉีดโสต้องฉีดซ้ำทุก 1-2 อาทิตย์ เมื่อได้ผลเป็นที่น่าพอใจแล้วสามารถหยุดได้ แต่วิธีนี้อาจจะไม่ได้ผล 100% เพียงแต่ช่วยทำให้ฝ้าจางลงเท่านั้น

15. การรักษาฝ้าด้วยกระแสไฟฟ้า ( Iontophoresis ) เป็นการใช้กระแสไฟฟ้าอย่างอ่อนช่วยผลักดันยาหรือสารอาหารผิวต่างๆ ให้ซึมซาบเข้าสู่ผิวได้ดียิ่งขึ้น ตัวยาที่นำมารักษาฝ้ามีหลายชนิดเช่น เจลโคจิก เจลอาร์บูติน เจลวิตามินซี เป็นต้น วีธีนี้ต้องทำซ้ำสัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง เป็นรักษาฝ้าที่ได้ผลดี ผลค้างเคียงน้อยจัดเป็นการักษาฝ้าที่น่าสนใจมากพอสมควร ถึงแม้จะมีราคาสูงไปบ้างแต่ว่าก็คุ้มค่ากับผิวหน้าใสๆ ที่ไร้ฝ้าอย่างแน่นอน

16. รักษาฝ้าด้วยการกรอผิวด้วยเกร็ดอัญมณี วิธีนี้เหมาะกับการรักษาฝ้าชนิดตื้น เป็นการเร่งขจัดเซลล์ผิวหนังที่เป็นปัญหาให้หลุดลอกออกไวยิ่งขึ้น ฝ้าจะจางลงอย่างรวดเร็ว แต่ก็ต้องมีการปรับความแรงของเครื่องมือให้เหมาะสม ไม่อย่างนั้นผิวหน้าอาจจะระคายเคืองได้

17. การรักษาฝ้าด้วยวิธี IPL เป็นวิธีที่มีขั้นตอนคล้ายการเลเซอร์ คือ ยิงลำแสงลงไปที่ผิวหนังให้เกิดความร้อน ความร้อนนั้นจะไปทำลายโปรตีนของเม็ดสีผิวใต้ผิวหนัง ทำให้ฝ้าจางลง วิธีนี่มีผลข้างเคียงน้อย ไม่เจ็บปวดและไม่ต้องทายาใดๆ แต่ว่าบริเวณใดที่มีฝ้าหนาหรือฝ้าแดด อาจมีการตกสะเก็ดบ้างซึ่งก็จะหายไปเองในไม่ช้า ในระยะแรกควรทำซ้ำทุกๆ 2 สัปดาห์ จากนั้นเว้นระยะห่างขึ้นเป็น 1-2 เดือนต่อครั้งเพื่อผลการรักษาที่ดี ไม่สามารถรักษาฝ้าให้หายขาด 100% ได้และมีโอกาสที่ฝ้าจะกลับมาเข้มได้อีก ดังนั้นหลังจากรักษาไปแล้ว อย่าลืมป้องกันและรักษาผิวหน้าดีๆ ไม่ให้เกิดฝ้าด้วยนะคะ

18. การเลเซอร์ Fraxel รักษาฝ้า เป็นการเลเซอร์ที่กระตุ้นการผลัดเซลล์ผิวด้วยการใช้ความร้อน เซลล์ผิวหนังชั้นนอกจะถูกผลัดออกไป ทำให้บริเวณที่เป็นฝ้าจางลงไปด้วย วิธีนี้มีผลข้างเคียงคือ ทำให้ผิวหน้าบวมแดงหลังเลเซอร์เสร็จ และทำให้ผิวหน้าไวต่อแดดมาก ดังนั้นในระยะแรกหลังทำ ต้องหลีกเลี่ยงการอยู่กลางแสงแดด ทาครีมหรือกางร่มเพื่อป้องกันการโดนแดดโดยตรง หากต้องการทำเลเซอร์ซ้ำ ควรระเว้นระยะห่างอย่างน้อย 2 เดือน

19. การเลเซอร์ Yagรักษาฝ้า วีธีนี้ทำโดยการยิงคลื่นแสงลงไปในบริเวณที่เป็นฝ้า จัดเป็นวิธีที่นิยมเนื่องจากมีประสิทธิผลดีในการรักษา แต่ข้อเสียคือผิวจะไวต่อแดดมาก ดังนั้นหลังทำเลเซอร์ควรหลีกเลี่ยงแสงแดดโดยตรงประมาณ 1 สัปดาห์ เมื่อต้องออกไปข้างนอก อย่าลืมพกร่มหรือทาครีมกันแดดที่ค่า Spf สูงๆ ไปด้วยนะคะ

เลเซอร์รักษาฝ้า

การป้องกันการเกิดฝ้า

เมื่อพูดถึงวิธีการรักษาฝ้านั้น วิธีที่ดีที่สุดในการรักษาคือ การป้องกันไม่ให้ฝ้ามาสถิตอยู่บนใบหน้าของเรา เพราะการป้องกันนั้นง่ายกว่ามาก ฝ้าเมื่อเกิดแล้วการรักษาอาจจะไม่ได้ผล 100% ซึ่งบางวิธีต้องใช้เงินมากในการรักษาด้วย ดังนั้นการป้องกันไว้จึงเป็นทางที่ดีที่สุด ว่าแต่เราสามารถป้องกันการเกิดฝ้าได้อย่างไรบ้าง มาดูกันค่ะ

  • หลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับแสงแดดโดยตรง ก่อนออกจากบ้านทาครีมที่มีส่วนผสมของสารกันแดดที่มีค่าความเข้มข้นอย่างน้อย Spf 30 ขึ้นไปและต้องเลือกชนิดที่มีส่วนผสมของ PA ด้วย เพราะสามารถป้องกันได้ทั้งรังสี UVA และ UVB หากต้องตากแดดตลอดทั้งวันก็สามารถทาครีมที่มีค่า Spf สูงกว่านี้ก็ได้ ควรแต่งตัวให้มิดชิด พกร่ม หมวก แว่นกันแดด ครีมกันแดดจะลดประสิทธิภาพเมื่อเวลาผ่านไป ดังนั้นหมั่นทาครีมบ่อยๆ หรือทาอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง
  • หลีกเลี่ยงการอยู่ใกล้ความร้อนนานๆ เช่น การทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์นานๆ การทำอาหารหน้าเตา รวมไปถึงการใช้โทรศัพท์มือถือด้วย
  • งดทานยาที่ทำให้เป็นฝ้า ใครที่ทานยาอะไรอยู่ ลองสังเกตตัวเองดูว่าฝ้าที่เป็นนั้นเกิดจากการทานยาหรือเปล่า หากพบว่าเกิดจากการทานยา ลองปรึกษาแพทย์เพื่อขอเปลี่ยนตัวยา ถ้าหากทำได้
  • เลือกผลิตภัณฑ์ชนิดที่อ่อนโยนต่อผิวหน้า หลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของน้ำมัน สารกันเสีย พาราเบน แอลกอฮอล์ สีรวมไปถึงน้ำหอมด้วย เพราะกระตุ้นให้เกิดการแพ้ ทำให้เป็นฝ้าได้ง่าย
  • ทดสอบก่อนใช้ เมื่อจะเปลี่ยนเครื่องสำอางหรือใช้ผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ให้ทดสอบการแพ้ก่อน เพื่อป้องกันและหลีกเลี่ยงส่วนผสมที่ก่อให้เกิดอาการแพ้และการกระตุ้นการเกิดฝ้า
  • ไม่น่าเชื่อว่าวิธีการรักษาฝ้าจะมีมากมายขนาดนี้ ดังนั้นใครที่กำลังทะเลาะกับ "ฝ้า" เจ้าปัญหาอยู่ลองนำไปใช้กันได้ค่ะ แต่อย่างไรก็ตามเลือกวีธีให้เหมาะสมกับสภาพผิวหน้าของเรา เช่น หากผิวหน้าบอบบางมาก ไม่ควรใช้มะขาม มะนาว หรืออะไรก็ตามที่มีความเป็นกรดสูงๆ นะคะ อันนี้ควรไปปรึกษาแพทย์ดีกว่า เพื่อที่จะได้วิธีการรักษาที่เหมาะสม ส่วนใครที่ผิวหน้าค่อนข้างแข็งแรง ลองหยิบจับวัตถุดิบดีๆ จากธรรมชาติที่อยู่ใกล้ตัวมาลองใช้ได้อย่างในบทความนี้ เพราะบางทีฝ้าอาจจะดีขึ้นได้อย่างไม่คาดคิดเพราะพืชสมุนไพรในบ้านก็ได้ค่ะ สุดท้ายนี้อยากจะบอกว่าวิธีการรักษาฝ้าที่ดีที่สุดคือ การป้องกันไม่ให้เกิดฝ้าค่ะ เพราะฝ้าเมื่อเป็นแล้วสามารถกลับมาเป็นได้ง่าย การป้องกันตั้งแต่ทีแรกจึงเปรียบเสมือนการตัดไฟตั้งแต่ต้นลมนั่นเอง