free web tracker, fire_lady 11 วิธีแก้รอยตีนกา รอยย่นที่หางตา...ทำไงให้กลับมาหน้าเด็กอีกครั้ง • สุขภาพดี

11 วิธีแก้รอยตีนกา รอยย่นที่หางตา...รักษายังไงให้กลับมาหน้าเด็กอีกครั้ง

วิธีรักษา แก้รอยตีนกา

เมื่ออายุเพิ่มมากขึ้น สิ่งที่เพิ่มขึ้นตามอายุนอกจากประสบการณ์แล้วคือ "ริ้วรอย" บนใบหน้านั้นเอง โดยเฉพาะ "รอยตีนกา" นั้น เกิดขึ้นได้ง่ายมาก อาจจะเกิดไวกว่ารอยอื่นๆ บนใบหน้าเลยก็ว่าได้ แน่นอนว่าคงไม่มีใครชอบน้องกาบนใบหน้ามากนัก เพราะมันทำให้ผิวหน้าดูแก่กว่าวัย อิดโรย ไม่สดใส ยิ่งยิ้มกว้าง รอยยิ่งย่นลึกลงไปบนผิว หลายคนจึงพยายามหาวิธีลดริ้วรอย รอยตีนกาให้จงได้ ซึ่งก็มีหลายวิธีด้วยกัน ทั้งบำบัดด้วยธรรมชาติและรักษาด้วยแพทย์ ใครอยากมีใบหน้าอ่อนเยาว์ เด็กว่าไป ห้ามพลาดวิธีแก้รอยตีนกา รอยย่นที่หางตาเหล่านี้เด็ดขาด

รอยตีนกา คือ?

รอยตีนกา (Crow’s feet) เป็นรอยยับย่นที่เกิดบริเวณหางตา มีลักษณะคล้ายกับตีนกาเหมือนกับชื่อเรียกนั่นแหละ เป็นปัญหาที่สตรีทั่วโลกต้องเผชิญร่วมกัน เพราะเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เลย โดยปกติรอยตีนกาจะเริ่มพบในช่วงอายุ 30-40 ปีขึ้นไป แต่ปัจจุบันบางคนอายุแค่หลัก 20 รอยตีนกาก็เริ่มมาเยือนเสียแล้ว ซึ่งมันส่งผลกระทบต่อความสวยงามบนใบหน้าเนื่องจาก ทำให้ใบหน้าดูแก่กว่าวัยนั่นเอง

สาเหตุของการเกิดรอยตีนกา

รอยตีนกามีสาเหตุหลักมาจากการแสดงสีหน้าและอารมณ์ต่างๆ ซึ่งในแต่ละวันคนเราแสดงอารมณ์กันเป็นร้อยเป็นพันครั้ง ริ้วรอยจึงเกิดขึ้นได้ และเมื่อใบหน้ายับย่นที่รอยเดิมทุกๆ ครั้งรอยนั้นจะลึกขึ้นมากกว่าเดิม เมื่อรวมกับอายุที่มากขึ้นเรื่อยๆ กล้ามเนื้อรอบดวงตาจะอ่อนแอลง ชั้นไขมันจะลดลง รอยจะเห็นชัดมากขึ้น นอกจากนี้ยังมีปัจจัยอื่นที่ทำให้เกิดรอยตีนกาได้ เช่น การนอนคว่ำ การขยี้ตา การสูบบุหรี่ เป็นต้น

 11 วิธีลดรอยตีนกา แบบเคล็ดไม่ลับ

1. ดูแลตัวเอง ก่อนจะหาสารพัดวิธีมารักษา อยากให้ทำความเข้าใจกันก่อนว่า รอยตีนกาคือธรรมชาติของร่างกาย เมื่ออายุมากขึ้นก็ยากที่จะหลีกเลี่ยง ดังนั้นก่อนที่รอยเหล่านี้จะลึกจนเกินเยียวยาจนต้องมาหาวิธีรักษากันทีหลัง เราควรหาวิธีชะลอการเกิดรอยตีนกาน่าจะตอบโจทย์มากกว่า เพราะการป้องกันย่อมดีกว่าการรักษา ส่วนเจ้ารอยตีนกานี้จะป้องกันอย่างไรได้บ้าง ดังนี้ค่ะ

  • เลิกนอนตะแคงหรือคว่ำหน้า เพราะผิวหน้าจะยับย่นเป็นรอยได้ง่าย เนื่องจากการนอนทับใบหน้าเป็นเวลานานมากๆ
  • หลีกเลี่ยงการขยี้ตา ทำให้ผิวระคายเคืองและเสี่ยงต่อการเป็นรอย
  • พักผ่อนให้เพียงพอ เลิกนอนดึก นอนอย่างน้อย 7 ชั่วโมงต่อวัน การนอนน้อยเกินไปมีผลเสียหลายอย่างต่อร่างกาย รวมถึงทำให้ผิวอ่อนแอ ฟื้นฟูตัวเองได้ไม่เต็มที่ ทำให้ผิวแก่ชราได้ง่าย
  • ดื่มน้ำให้เพียงพอ น้ำเป็นส่วนประกอบสำคัญของเซลล์ทุกเซลล์ในร่างกาย หากได้รับน้ำมากเพียงพอ จะช่วยคงความชุ่มชื่นให้ผิว ทำให้ผิวยืดหยุ่นและไม่แห้งกร้าน
  • เลือกทานอาหารที่มีประโยชน์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพืชผักผลไม้ เพราะอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระและวิตามินต่างๆ ที่ช่วยบำรุงผิว ชะลอความชรา ช่วยคงความอ่อนเยาว์ให้ผิว อาหารที่เหมาะสำหรับบำรุงผิว เช่น มะเขือเทศ ส้ม มะขามป้อม ตำลึง แครอท แตงกวา
  • ออกกำลังกาย ช่วยให้ร่างกายแข็งแรง ฟื้นฟู และซ่อมแซมตัวเองได้ดี ระบบหมุนเวียนโลหิตทำงานได้ดีขึ้น ช่วยขับสารพิษและของเสียออกจากร่างกาย ทั้งหมดนี้มีผลทำให้ผิวพรรณเปล่งสดใส ดูมีเลือดฝาดค่ะ
  • ไม่เครียด ความเครียดนอกจากจะทำให้สิวเห่อแล้วยังทำให้ใบหน้าเกิดริ้วรอยได้ง่ายด้วย
  • หลีกเลี่ยงแสงแดดและมลภาวะ แสงแดดทำให้ผิวสร้างคอลลาเจนและอิลาสตินน้อยลง ทำให้ผิวขาดความยืดหยุ่น เกิดริ้วรอยได้ง่าย ดังนั้นก่อนออกจากบ้าน ควรทาครีมกันแดดเสียก่อน ควรใส่แว่นตากันแดด หมวก หรือกางร่มก็ช่วยได้มาก ส่วนมลภาวะจำพวกฝุ่น ควันต่างๆ หากหลีกเลี่ยงได้นั้นจะเป็นผลดีต่อผิวหนังรอบดวงตามากเช่นกันค่ะ

2. ใช้สีหน้าอย่างพอดี ข้อนี้อาจจะฟังดูแปลกๆ แล้วปฏิบัติตามค่อนข้างยากเล็กน้อย แต่ว่าการใช้สีหน้าเพื่อแสดงอารมณ์มากเกินไปบ่อยๆ จัดเป็นสาเหตุของการเกิดรอยตีนกาค่ะ ดังนั้นควรระวัดระวัง เช่น ไม่เลิกคิ้วบ่อยๆ ไม่หยีตาหรือหัวเราะปากกว้างมากในเวลานานๆ

วิธีลดรอยตีนกา ไม่แสดงอารมณ์มาก

3. ครีมบำรุงผิว เลือกครีมบำรุงผิวรอบดวงตาดีๆ สักตัว โดยเน้นครีมที่มีส่วนผสมของกรดไฮยาลูลอน ที่ช่วยทำให้ผิวชุ่มชื่นยาวนาน หรือครีมที่มีส่วนผสมของสารต้านอนุมูลอิสระอย่างวิตามินเอ วิตามินซี ก็จะช่วยชะลอ ทำให้ริ้วรอยเกิดขึ้นได้ช้าลง

ทาครีมลดรอยตีนกา

4. สมุนไพรลดรอยตีนกา บ้านเรานั้นอุดมไปด้วยพันธุ์ไม้นานาพันธุ์ที่มีสารสารอาหารผิวดีๆ จากธรรมชาติ ที่ช่วยบำรุงผิวให้แข็งแรง ชะลอการเกิดริ้วรอยเหี่ยวย่น รวมทั้งเติมเต็มร่องลึกต่างๆ ให้ตื้นขึ้นได้ ส่วนวิธีการบำรุงก็มีทั้งพอก ขัด ทา เป็นต้น ซึ่งจะต้องใช้อะไรยังไงบ้างนั้น มีดังนี้ค่ะ

  • น้ำมันมะพร้าว หยดน้ำมันมะพร้าว 2-3 หยดลงบนสำลีหรือปลายนิ้วมือ จากนั้นนำมานวดที่ใบหน้าจนทั่ว ทาก่อนนอนแล้วปล่อยทิ้งไว้โดยไม่ต้องล้างออก น้ำมันมะพร้าวเป็นน้ำมันที่มีสารต้านอนุมูลอิสระสูง มีวิตามินหลายชนิด ช่วยบำรุง ทำให้ผิวเนียนนุ่มชุ่มชื่น และด้วยสภาพความเป็นกรดอ่อนๆ จึงช่วยผลัดเซลล์ผิวและกระตุ้นให้เกิดเซลล์ผิวใหม่ด้วย ริ้วรอยจึงนุ่มลงและตื้นขึ้น
  • แตงกวา หั่นแตงกวาเป็นแว่นๆ แล้วนำไปแช่เย็น จากนั้นนำมาวางแปะบนดวงตานาน 15-20 นาที ความเย็นจะช่วยกระตุ้นให้ผิวกระชับมากขึ้น ช่วยบรรเทาความเมื่อยล้าของผิวหนังรอบดวงตา รักษาอาการตาดำคล้ำเหมือนหมีแพนด้าได้ด้วยค่ะ
  • มะเขือเทศ หั่นแล้วแช่เย็นแบบเดียวกับแตงกวาแล้วนำมาวางแปะที่ดวงตา มะเขือเทศอุดมไปด้วยวิตามินซีและไลโคปีน ซึ่งเป็นอาหารผิวชั้นเยี่ยม ช่วยให้ริ้วรอยดูจางลง
  • ใบบัวบก นำใบบัวบกสดๆ ทั้งก้านมาล้างน้ำ ปั่นให้ละเอียด คั้นเอาแต่น้ำแล้วเอาสำลีชุบมาทารอบดวงตา ทาทิ้งไว้ประมาณ 15 นาทีแล้วล้างออก ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอิลาสติน คืนความยืดหยุ่นให้กับผิว
  • อะโวคาโด +โยเกิร์ต นำโยเกิร์ตรสธรรมชาติและอะโวคาโดมาปั่นรวมกันจนเป็นเนื้อเนียนละเอียด นำมาพอกบริเวณรอยตีนกา แต่ว่าผิวหนังรอบดวงตาค่อนข้างบอบบางจึงไม่ควรพอกทิ้งนาน แค่ 5-10 นาทีก็เพียงพอ อะโวคาโดจะช่วยเพิ่มความชุ่มชื่นให้ผิว ส่วนโยเกิร์ตเป็นกรดเล็กน้อย ช่วยปรับผิวให้กระจ่างใส
สมุนไพรลดรอยตีนกา

5. การขัดผิว การขัดผิวเป็นวิธีช่วยผลัดเซลล์ผิวหนังที่เสื่อมสภาพออกไปอย่างปลดภัย ควรเลือกสูตรขัดผิวที่มีส่วนผสมจากธรรมชาติหรือจะทำขึ้นเองก็ได้ เช่น ข้าวโอ๊ตบดผสมโยเกิร์ต น้ำผึ้งผสมแตงกวาปั่น เป็นต้น การขัดผิวอย่างสม่ำเสมอจะช่วยให้ริ้วรอยจางลง ช่วยชะลอการเกิดรอยใหม่ด้วยค่ะ

6. การใช้กรดลดรอยตีนกา (Peels)  จะใช้กรดอย่างกรดไกลโคลิกทาบริเวณรอยตีนกา เพื่อลอกเซลล์ผิวที่ตายแล้วออก ช่วยรอยตื้นขึ้นแต่รักษาได้เฉพาะรอยตื้นๆ เท่านั้น หรืออาจจะใช้กรดอย่างอื่น เช่น กรดซาลิไซลิค กรดไตรโคลโรแอคซีติก เป็นต้น มาใช้ กรด 2 อย่างหลังนี้ทำงานได้ดีกว่าเพราะซึมเข้าผิวได้ลึกกว่า แต่ว่าข้อควรระวังในการใช้วิธีนี้คือ ผิวรอยดวงตาบอบบางมาก อาจจะระคายเคืองได้ง่าย ผลข้างเคียงก็มีอีกเยอะพอสมควร เช่น มีรอยดำ รอยไหม้ ผิวหนังเปลี่ยนสี ผิวบวมแดงหรือเป็นแผลเป็น ดังนั้นอย่าไปหาซื้อมาใช้เอง ควรรักษากับแพทย์ ถ้าหากมีผลข้างเคียงจะได้รักษาดูแลได้อย่างถูกวิธี

7.  การกรอผิว (Dermabrasion ) เป็นการกรอผิวหนังกำพร้าบางส่วนออกไป โดยใช้วิธีพ่นผลึกอัญมณีขนาดเล็กที่ผ่านการฆ่าเชื้อมาแล้วลงบนผิวหนัง ช่วยผลัดเซลล์ผิวเก่าที่เสื่อมสภาพออกไปได้ดี ผิวจะเนียนเรียบ รักษาได้ทั้งรอยตีนกา รอยย่นบริเวณอื่น หลุมสิว รอยดำรอยแดงจากสิว ฝ้าและกระ  การรักษาจะเห็นผลที่ชัดเจน ต้องรักษาประมาณ 6 ครั้งขึ้นไป ทำห่างกันครั้งละ 1-2 สัปดาห์ ผลข้างเคียงหลังทำคืออาจจะมีรอยแดงเล็กน้อย แต่ว่าจะดีขึ้นเองภายใน 24 ชั่วโมง ในระยะแรกๆ ควรหลีกเลี่ยงแสงแดด การทายาหรือครีมอะไรก็ตามที่อาจส่งผลเสียกับผิว ถ้าจะใช้ควรปรึกษาแพทย์ก่อน

8. การโบท็อกซ์ คือการฉีดยาชนิดหนึ่งเข้าไปบริเวณที่ผิวหนังมีรอยย่น ยานี้มีฤทธิ์ในการยับยั้งปลายเส้นประสาทที่เชื่อมต่อกับกล้ามเนื้อ มีผลทำให้กล้ามเนื้อคลายตัว ผิวหนังด้านบนจะค่อยๆ เรียบตึงขึ้น วิธีลดรอยตีนกาด้วยโบท็อกซ์นั้นมีข้อดีคือทำได้ง่ายและรวดเร็ว เจ็บน้อย เห็นผลชัดเจนภายในไม่กี่วัน แต่ผลข้างเคียงก็มีเช่นกัน เช่น ถ้าฉีดมากเกินไปอาจจะให้หน้าดูตึงแข็งและไม่เป็นธรรมชาติ ก่อนจะฉีดโบท็อกซ์ต้องหาสถาบันเสริมความงามที่ได้มีความปลอดภัยได้มาตรฐาน แพทย์ผู้ฉีดต้องมีความเชี่ยวชาญ เพราะบางคนอาจจะมีปัญหาเลือดออกง่าย กล้ามเนื้ออ่อนแรง หรือแพ้โปรตีน แพทย์จะได้ประเมินว่าคุณมีข้อจำกัดใดๆ ในการฉีดหรือไม่ การโบท็อกซ์นี้เป็นวิธีการรักษารอยตีนกาแบบชั่วคราว เพราะตัวยาจะยังคงประสิทธิภาพแค่ประมาณ 6-8 เดือนเท่านั้น ดังนั้นจึงต้องคอยฉีดซ้ำอยู่เรื่อยๆ ค่ะ

ฉีดโบท๊อกซ์ลดรอยตีนกา

9. การผ่าตัดลดรอยตีนกา ตีนกานั้นเกิดจากกล้ามเนื้อบริเวณหางตาเสื่อมสภาพ การผ่าตัดจึงผ่าที่กล้ามเนื้อบริเวณนี้รวมทั้งผ่าตัดยกผิวหนังตรงตีนกาให้ตึงขึ้นด้วย เมื่อผ่าตัดแล้วจะมีแผลยาว 4-5 เซนติเมตรที่ขมับทั้งสองข้าง แต่ว่าไม่ต้องกังวลเรื่องรอยแผลเป็นเพราะว่าผมจะช่วยปิดเอาไว้ และถ้าศัลยแพทย์มีความเชี่ยวชาญ รอยแผลเป็นจะจางมาก ถ้าไม่สังเกตจะไม่เห็นเลย หลังผ่าอาจจะมีอาการบวมเล็กน้อยแต่จะค่อยๆ ดีขึ้น การผ่าตัดนี้เป็นการผ่าตัดเล็ก ผ่าเสร็จไม่ต้องนอนพักที่โรงพยาบาล สามารถกลับบ้านได้เลย ช่วยรักษารอยตีนกาได้ยาวนานหลายปีโดยไม่ต้องมาคอยรักษาซ้ำๆ เหมือนวิธีอื่นๆ

10. การเลเซอร์ การเลเซอร์รักษารอยตีนกามีหลักการง่ายๆคือ ยิงคลื่นแสงที่ความยาวต่างๆ กันไปที่ผิวหนัง เพื่อกระตุ้นให้มีการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินมากขึ้น ทำให้ริ้วรอยตื้นขึ้น ได้ผลดีกับรอยตีนกาที่ไม่ลึกมากนัก เห็นนผลค่อนข้างช้าแต่ปลอดภัยมากพอสมควร สำหรับการเลเซอร์นี้ต้องทำซ้ำประมาณ 4 ครั้งขึ้นไปจึงจะเห็นชัดเจน

11. การผ่าตัดยกคิ้ว ใครที่อยากเจ็บน้อยกว่าการผ่าตัดรอยตีนกาก็เลือกใช้วิธีนี้ได้ เพราะการผ่าตัดยกคิ้วจะผ่าที่ปลายคิ้ว แล้วดึงรั้งเนื้อเยื่อใต้คิ้วขึ้นไปแล้วเย็บ ซึ่งจะทำให้รอยย่นบริเวณหางตาถูกดึงขึ้นไปด้วย รอยตีนกาจะตึงและตื้นขึ้น เป็นการรักษาที่ได้ผลดีนานหลายปีเช่นเดียวกับการผ่าตัดรอยตีนกา แต่แผลจะเล็กกว่ามาก เพียงแค่ 1 เซนติเมตรเท่านั้น ส่วนแผลเป็นนั้นไม่ต้องกังวลเลยเพราะคิ้วจะปกปิดไว้ได้อย่างเนียนสนิทค่ะ

เป็นอย่างไรกันบ้างกับวิธีรักษา วิธีแก้รอยตีนกาที่นำมาฝากกัน ใครที่มีปัญหารอยตีนกาสามารถเลือกนำไปใช้ได้ค่ะ ส่วนใครที่ยังไม่มี อย่าเพิ่งชะล่าใจไป เพราะคุณยังโชคดีมากๆ ดังนั้นพยายามดูแลรักษาผิวหน้าเอาไว้ให้ชุ่มชื่น แข็งแรง หลีกเลี่ยงปัจจัยต่างๆ ที่ก่อให้เกิดรอยตีนกาได้ เพราะว่าการป้องกันย่อมดีกว่าการมาหาวิธีรักษาทีหลังอย่างแน่นอน