free web tracker, fire_lady 15 วิธีรักษาหลุมสิว...ทำอย่างไร ให้ผิวหน้ากลับมาเนียนใสอย่างได้ผล • สุขภาพดี

15 วิธีรักษาหลุมสิว...ทำอย่างไร ให้ผิวหน้ากลับมาเนียนใสอย่างได้ผล

วิธีรักษาหลุมสิว รอยสิว

"สิว" จัดเป็นปัญหาใหญ่ของใบหน้า แต่ปัญหาที่ยิ่งกว่าก็คือเจ้าร่องรอย "หลุมสิว" นี่แหละ เพราะนอกจากจะเป็นหลุมเป็นบ่อจนทำให้ผิวหน้าไม่เรียบแล้ว ยังส่งผลกระทบไปถึงเรื่องอื่นไม่ว่าจะเป็นการแต่งหน้า ความมั่นใจ หลุมสิวบางประเภทลึกและรักษาได้ยากสุดๆ หลายคนจึงกลุ้มอกกลุ้มใจไม่น้อยว่าจะเอายังไงกับหลุมสิวเจ้าปัญหานี้ดี โดยปกติแล้วช่วงที่เราเข้าสู่วัยรุ่นมักจะมีคนบอกว่า อย่าแกะอย่าบีบสิว เดี๋ยวหน้าเป็นหลุม...แต่ด้วยความมือบอน ปนกับความดื้อ แม้สิวจะหายแต่ก็ยังหลงเหลือ หลุมสิวให้เจ็บใจเล่น แล้วเราจะมีวิธีรักษาหลุมสิว ให้ตื้นขึ้น ทำให้ผิวหน้าเรียบเนียนขึ้น ต้องทำอย่างไร อย่าเพิ่งกลุ้มใจเกินเหตุ เพราะเรามี 15 เคล็ดลับวิธีรักษาหลุมสิวมาฝากกันค่ะ

ชนิดของหลุมสิว

ชนิดของหลุมสิวแบ่งตามลักษณะและความลึกของหลุมสิว โดยแบ่งได้ 3 ชนิด ดังนี้

ชนิดของหลุมสิว

1. Rolling Scar เป็นหลุมสิวแบบทั่วไป มีลักษณะเป็นรอยเว้าตื้นๆ ที่เกิดจากการแกะสิวแบบที่ไม่ทำลายจนกินเนื้อผิวลงไปลึกมากนัก หลุมสิวชนิดนี้รักษาง่าย ส่วนใหญ่สามารถใช้ยาทาหรือครีมเพื่อเติมเต็มผิวได้

2. Box Scar เป็นชนิดรุนแรงปานกลาง มีลักษณะเป็นบ่อลึกกว่าชนิดแรก ขอบหลุมชัดเจนและค่อนข้างกว้าง หลุมสิวลึกลงไปแค่ชั้นผิวหนัง หากต้องการการรักษาให้ได้ผลดี ต้องใช้ยาหรือครีมรักษาควบคู่ไปกับการทำทรีตเมนท์ อาจจะต้องใช้เวลาในการรักษาเล็กน้อย ผลการรักษาดีค่อนข้างมาก อาจจะเหลือร่องรอยบ้าง แต่ถ้าหากตั้งใจและอดทนก็นับว่าได้ผลดีพอสมควร

3. Ice pick scar เป็นหลุมสิวชนิดที่รุนแรงที่สุด หลุมกินลึกลงไปจนถึงชั้นรูขุมขน หลุมมีลักษณะแหลมตรงลงไปในทางลึก ปากหลุมแคบ รักษายากมาก ดังนั้นต้องใช้เวลารักษานานมาก เมื่อรักษาแล้วส่วนใหญ่หลุมจะตื้นขึ้นเท่านั้น แต่จะหายสนิทได้ยาก การรักษาต้องใช้หลายวิธีร่วมกัน ถ้าใช้แค่ยาหรือครีมรักษา มักไม่ประสบความสำเร็จ

วิธีดูแลรักษาหลุมสิว

1. สมุนไพร มีสมุนไพรหลายชนิดที่มีสรรพคุณช่วยลดรอยหลุมสิวได้ หากใครมีปัญหาหลุมชนิดตื้นๆ สามารถนำสมุนไพรเหล่านี้มาใช้ก็จัดว่าเป็นทางเลือกที่ดีค่ะ

  • ใบบัวบก ใบบัวบกมีสารไกลโคไซด์ที่ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนที่ใต้ผิวหนัง ช่วยเติมหลุมสิวให้ตื้นขึ้น กระตุ้นการสร้างและซ่อมแซมเซลล์ผิวที่เสียหาย ช่วยรักษาสิว ลดการอักเสบของผิว ทำให้แผลหายเร็วขึ้น ลดเลือนรอยแผลเป็น ส่วนวิธีการรักษาทำได้ง่ายมากๆโดยการ นำใบบัวบกทั้งก้านมาล้างให้สะอาด จากนั้นไปปั่นจนละเอียด แล้วนำมาพอกหน้า ทิ้งไว้ประมาณ 15-20 นาที จากนั้นล้างออกด้วยน้ำสะอาด วิธีนี้สามารถปฏิบัติได้สัปดาห์ละ 2-3 ครั้งค่ะ
  • หอมแดงและมะนาว ฝานหอมแดงเป็นแว่นบางๆ ทุบเล็กพอให้น้ำหอมแดงออกมา บีบมะนาวลงไป แล้วนำหอมแดงที่ได้มาแปะไว้บริเวณที่เป็นหลุมสิว ทิ้งไว้ 5-10 นาที แล้วล้างออก สามารถทำได้สัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง จะช่วยให้รอยหลุมสิวค่อยๆจางลง หอมแดงมีคุณสมบัติช่วยรักษาหลุมสิวและสิวใหม่ๆ ส่วนมะนาวมีวิตามินซี ช่วยผลัดเซลล์ผิว ทำให้ผิวใสขึ้น สูตรนี้ไม่เหมาะสำหรับผิวบอบบาง หากไม่เคยใช้วิธีนี้ควรทดลองกับบริเวณท้องแขนตัวเองก่อน หากไม่รู้สึกระคายเคืองก็สามารถนำมาใช้ที่ใบหน้าได้ค่ะ
  • มะละกอ ในมะละกอมีเอนไซม์ที่ช่วยกระตุ้นให้หลุมสิวซ่อมแซมตัวเองและตื้นขึ้นได้ เพียงนำมะละกอสุกมาปอกเปลือกล้างให้สะอาด จากนั้นปั่นจนละเอียด นำมาพอกหน้า ทิ้งไว้ประมาณ 10-15 นาทีแล้วล้างออก หากพอกเป็นประจำหลุมสิวจะค่อยๆจางลง
  • ว่านหางจระเข้ เป็นสุดยอดสมุนไพรบำรุงที่สาวๆหลายคนรู้ถึงสรรพคุณดีว่าช่วยบำรุงผิวหน้าให้เนียนนุ่มสดใส ทั้งยังช่วยผลัดเซลล์ผิว ช่วยสมานผิวและรอยแผล กระตุ้นการหดรัดตัวของผิวหนัง ทำให้หลุมสิวกระชับและตื้นขึ้น สำหรับใครที่มีปัญหาหลุมสิวชนิดตื้นๆ นำว่านหางจระเข้มาปอกเปลือกแล้วล้างให้สะอาด เลือกว่านหางจระเข้ที่แก่แล้ว จะเป็นใบที่อยู่ล่างสุด เมื่อล้างเสร็จแล้ว นำไปบดให้ละเอียด จากนั้นนำมาพอกหน้าทิ้งไว้ 10-15 นาทีแล้วล้างออก ว่านหางจระเข้อ่อนโยนกับผิวหน้า ดังนั้นสามารถนำมาพอกบ่อยๆได้สัปดาห์ละ 3-4 ครั้ง ช่วยลดปัญหาหลุมสิวลงได้ค่ะ
  • น้ำมันมะพร้าว เป็นน้ำมันที่อุดมไปด้วยวิตามินอีและกรดลอริก ช่วยต่อต้านเชื้อแบคทีเรียและบำรุงผิวหนังให้เนียนนุ่นแข็งแรง นำน้ำมันมะพร้าวมาทาหน้าหลังล้างหน้าเสร็จเรียบร้อย ควรทาก่อนนอนโดยไม่ต้องล้างออก สามารถทิ้งไว้จนเช้าได้เลย สารอาหารผิวที่อยู่ในน้ำมันมะพร้าวจะช่วยให้ผิวหนังและหลุมสิวอ่อนนุ่มและจางลงได้ค่ะ

2. การลอกผิวด้วยกรดผลไม้ เช่น AHA,BHA หรือ PHA เป็นต้น กรดเหล่านี้จะช่วยลอกเซลล์ผิวหนังที่อยู่บนสุดออก กระตุ้นให้ผิวซ่อมแซมตัวเอง รอยหลุมจะตื้นขึ้น

3. การแต้มกรด TCA กรด TCA มีฤทธิ์ช่วยลอกเซลล์ผิวชั้นตื้นๆให้หลุดออก สำหรับการรักษาหลุมสิว แพทย์จะพิจารณาเลือกกรดที่มีความเข้มข้นเหมาะกับชนิดของหลุมสิว จากนั้นจะใช้ไม้หรืออุปกรณ์ที่มีปลายขนาดเล็กจิ้มยาแล้วแต้มลงไปที่ก้นหลุมสิว โดยห้ามถูกเนื้อเยื่อบริเวณอื่น หลังจากนั้นทิ้งไว้ 3-5 นาทีแล้วล้างออก กรดจะกัดผิวจนทำให้เป็นสะเก็ดสีดำๆ ซึ่งจะหลุดออกหลังจากนั้นประมาณ 1 สัปดาห์ บริเวณที่ถูกกรดกัดจะเป็นรอยด่างสีขาว การรักษาด้วยวิธีนี้ต้องทำซ้ำหลังจากสะเก็ดหลุดไปแล้วประมาณ 2 สัปดาห์และทำต่อเนื่องไปเรื่อยๆ ได้ประมาณ 6 เดือน ปัจจุบันวิธีนี้ไม่เป็นที่นิยมมากนัก เพราะบริเวณที่ถูกกัด อาจจะเป็นแผลนูนบวมได้

4. กรดวิตามินเอ มีกรดอีกชนิดที่ช่วยรักษาหลุมสิวได้ ซึ่งก็คือกรดวิตามินเอนั่นเอง กรดนี้มีรักษาหายช้ากว่าแต่ข้อดีคือผลข้างเคียงน้อยกว่ากรด TCA เช่นกัน หากใครที่ไม่รีบร้อนหรือไม่อยากกังวลเกี่ยวกับสะเก็ดที่จะเกิดจากกรด TCA การหันมาใช้กรดวิตามินเอแทนจัดเป็นทางเลือกที่ดีค่ะ

5. สกินแคร์ มีสกินแคร์หลายชนิดที่มีส่วนผสมของสารที่ช่วยผลัดเซลล์ผิวหรือสารที่ช่วยเติมเต็มผิวหนังบริเวณหลุมสิวได้อย่างวิตามินเอ วิตามินอี BHA เป็นต้น หากใครไม่รู้จะเลือกใช้สกินแคร์สำหรับลดหลุมสิวตัวไหนดี วันนี้เราได้รวบรวมมาฝากกันค่ะ

  • Estee Lauder Advanced Night Repair เป็นผลิตภัณฑ์ที่มีลักษณะเป็นเซรั่ม ช่วยบำรุงและฟื้นฟูผิวอย่างเหมาะสมตามวงจรธรรมชาติของร่างกาย ช่วยรักษาหลุมสิวตื้นๆได้ผลดีมาก เหมาะกับทุกสภาพผิว เป็นผลิตภัณฑ์ที่สาวๆหลายคนติดใจ
  • Skinbiology super Cop 2X มีลักษณะเป็นเนื้อครีม เหมาะสำหรับผู้ที่เป็นหลุมสิวแบบลึก ปากหลุมแคบ ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ทำให้ผิวหนังกระชับ ยืดหยุ่น ใบหน้าดูเด็กลง รุขุมขนเล็กลง
  • Puritan’s Pride Retinol Cream เป็นเนื้อครีม เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาหลุมสิวแบบไม่มาก รวมไปถึงรอยดำที่เกิดจากสิว ช่วยเร่งการผลัดเซลล์ผิว ให้ผิวชั้นบนสุดเรียบเนียน กระชับ ช่วยรักษาสิวอุดตันได้ด้วย
  • Smooth E Acne Scar Serum มีลักษณะเป็นเซรั่ม ช่วยสมานผิวที่ถูกทำลาย ลดการอักเสบ ทำให้แผลเป็นจางลง ลดรอยดำรอยแดงจากสิวที่เพิ่งเกิดได้ไม่นาน
  • Clinicque Repairwear Smooths, Restores, Corrects เป็นเซรั่ม มีคุณสมบัติช่วยเสริมสร้างคอลลาเจนกับผิว ฟื้นฟูผิวหน้า ช่วยเติมเต็มหลุมสิวและริ้วรอยบนใบหน้าให้ตื้นขึ้น

5. ครีมลบรอยแผลเป็น ครีมลบรอยแผลเป็นหลายยี่ห้อก็มีส่วนผสมที่ช่วยลดขนาดหลุมสิวได้ ถึงแม้ว่าจะช่วยไม่ได้มากแต่ก็กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใต้ผิวหนัง ทำให้ผิวแข็งแรงหลุมตื้นขึ้นค่ะ

6. ยาทารักษาหลุมสิว เช่น ยาที่มีส่วนผสมจากอนุพันธ์ของวิตามินเอ อย่างเรตินเอ เป็นต้น เป็นยาที่กระตุ้นให้เกิดการสร้างคอลลาเจนใต้ผิวหนัง ยานี้เมื่อทาแล้วจะทำให้ผิวบางไวต่อแสง ดังนั้นจึงควรทาก่อนนอน ทาแล้วนอนเลย ไม่เล่นโทรศัพท์หรือดูทีวีต่อ เพราะผิวบริเวณที่ถูกแสงจะดำคล้ำได้ง่ายมาก ที่สำคัญคือห้ามใช้ยาร่วมกับครีมที่มีส่วนผสมกรดผลไม้อย่างพวก AHA,BHA เด็ดขาด เพราะผิวจะแดง ลอก ระคายเคืองผิวอย่างมาก และถึงแม้ว่าจะเป็นยาทาแต่ก็ถูกขับออกทางตับเช่นเดียวกัน ดังนั้นไม่ควรใช้ติดต่อกันเป็นเวลานานๆ ในขณะใช้ยานี้หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์เพื่อไม่ให้ตับถูกทำร้ายมากจนเกินไปด้วยค่ะ

7. ยาที่สกัดจากอนุพันธ์วิตามินเอชนิดรับประทาน ยานี้ส่วนใหญ่มักจะได้มาทานเมื่อมีปัญหาสิว เช่น Acnotin, Roaccutance เป็นต้น ยาจะช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ทำให้หลุมลึกแลดูตื้นขึ้น แต่ว่ายามีผลข้างเคียงค่อนข้างมากเช่น ทำให้ผิวแห้งมาก ตาแห้ง ปากแห้งแตกลอก ผิวไวต่อแดด อีกทั้งยังอันตรายต่อทารกมากๆ หากสตรีที่กำลังตั้งครรภ์นำมายานี้มารับประทาน ดังนั้นห้ามหาซื้อยานี้มารับประทานเองเด็ดขาด ควรใช้ยานี้ภายใต้ความควบคุมของแพทย์เท่านั้น

8. Skin Needing สำหรับวีนี้จะใช้อุปกรณ์ที่มีลักษณะเป็นลูกกลิ้งติดเข็มอันเล็กที่มีความยาวลึกถึงชั้นหนังแท้กลิ้งลงไปบริเวณที่มีหลุมสิว เมื่อทำดังนี้ผิวจะเกิดการอักเสบขึ้น จะกระตุ้นให้ผิวซ่อมแซมตัวเอง กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอิลาสติน ทำให้ผิวหนังยืดหยุ่นมากขึ้น หลุมสิวตื้นขึ้น วีนี้ไม่ทำให้ผิวลอกผิวบางเหมือนการใช้กรดกัด แต่อาจจะมีรอยคล้ำรอยแดงบ้างหลังทำซึ่งจะหายไปเองในเวลาไม่นาน ควรทำซ้ำอย่างน้อย 5 ครั้ง ทำห่างกันครั้งละ 2-4 อาทิตย์ เพื่อผลลัพธ์ที่ดีในการรักษา

กรอผิว ลดหลุมสิว

9 . การฉีดฟีลเลอร์ การฉีดฟีลเลอร์เติมเต็มหลุมสิวเป็นเหมือนวิธีการรักษาหลุมสิวแบบชั่วคราวมากกว่าเนื่องจากเป็นการฉีดสารเติมเต็มเข้าไปทันทีโดยไม่ได้กระตุ้นให้ร่างกายซ่อมแซมตัวเอง สารที่นิยมนำมาฉีดคือสารไฮยาลูรอนิก เอซิด ซึ่งมีผลข้างเคียงน้อยกว่าการฉีดคอลลาเจน ผลลัพธ์ที่ได้ต่างกันไป บางคนเห็นผลดี บางคนเห็นผลเพียงเล็ดน้อยเท่านั้น การฉีดฟีลเลอร์แบบชั่วคราวจะอยู่ได้ประมาณ 6 เดือน-1ปี จากนั้นก็จะค่อยๆ เสื่อมสลายไปเอง ไม่แนะนำให้ฉีดแบบถาวรเพราะผลข้างเคียงเยอะมาก เนื่องจากจะมีส่วนผสมของเม็ดพลาสติก ซึ่งสามารถก่อให้เกิดอาการแพ้ได้ง่ายๆเลย การฉีดฟีลเลอร์นั้นรักษาได้พาะหลุมสิวประเภท Rolling Scar เท่านั้น เนื่องจากไม่มีพังผืดที่หลุมสิว การมีพังผืดจะกั้นการ สร้างคอลลาเจน วิธีนี้เหมาะสำหรับผู้ที่ใจร้อนอยากเห็นผลการรักษาแบบเร็วๆ อย่างไรก็ตามควรทำควบคู่ไปกับการรักษาแบบอื่นๆ ไม่อย่างนั้นก็ต้องฉีดซ้ำไปตลอดเพราะมันรักษาแค่ชั่วคราวเท่านั้น

10. Subcision หรือวิธีการสร้างพังผืดใต้หลุมสิว วิธีนี้แพทย์จะสอดเข็มขนาดเล็กที่เรียกว่า Nokor ลงไปใต้ผิวหนังเพื่อทำงานตัดผิวหนังที่เป็นพังผืดใต้หลุมสิว ซึ่งจะทำกันทีละหลุมๆ จนกว่าจะครบทั้งหมดบนใบหน้า เมื่อตัดเอาออกจนหมด ผิวหนังจะค่อยๆ ฟื้นฟูตัวเอง หลุมสิวจะตื้นขึ้น ผลข้างเคียงคือหลังทำผิวอาจจะม่วงช้ำหรือมีเลือดออกเล็กน้อยประมาณ 1-2 สัปดาห์ บางคนอาจจะมีแผลเป็นนูนได้ ดังนั้นวิธีนี้จึงไม่ได้รับความนิยมแล้วในปัจจุบันเพราะอาจจะได้ไม่คุ้มเสียค่ะ

11. การกรอผิวด้วยเกร็ดอัญมณี (Microdermabrasion) เป็นการเร่งผลัดเซลล์ผิวชั้นบนสุด ทำให้หลุมสิวตื้นขึ้นอย่างรวดเร็วและไม่ทำให้เป็นแผลในการรักษา สามารถใช้รักษาหลุมสิวได้ทุกประเภท แต่ละเห็นผลดีกับหลุมชนิด Rolling Scar มากที่สุด การกรอผิวต้องเว้นระยะห่างในการทำ 1-2 ครั้งต่อสัปดาห์เพราะมันทำให้ผิวหน้าบาง ต้องทำซ้ำประมาณ 6-10 ครั้งเพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด

12. การใช้คลื่นวิทยุ (Radio frequency) วิธีนี้เป็นการส่งคลื่นวิทยุลงไปที่ชั้นผิวหนังแท้บริเวณหลุมสิว เพื่อให้ผิวบริเวณถูกทำลาย ซึ่งมีผลทำให้กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน วิธีนี้น่าจะเป็นวิธีที่ดีที่สุดในปัจจุบันสำหรับการรักษาหลุมสิว เพราะให้ผลลัพธ์สูงถึง 70-80% เลยทีเดียวถ้าทำซ้ำ 3-5 ครั้งขึ้นไป ผลข้างเคียงในขณะทำคืออาจจะทำให้เจ็บเล็กน้อย แต่โดยทั่วไปแพทย์จะทายาชาก่อนทำการรักษา จึงไม่น่าเป็นกังวลมากเท่าใดนัก ควรทำแต่เดือนละ 1 ครั้งเท่านั้น ผลข้างเคียงอื่นๆน้อยมาก แต่ราคาก็หนักพอสมควร

13. การทำ IPL เป็นวิธีที่ใช้รักษาหลุมสิวชนิด Rolling Scar ได้ดีแต่ไม่ค่อยเห็นผลกับหลุมสิวชนิดอื่นๆ การรักษาจะใช้คลื่นแสงหลายความยาวคลื่นยิงลงไปตรงๆที่บริเวณหลุมสิวเพื่อกระตุ้นการะบวนการซ่อมแซมตัวเองและกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ความยาวแสงที่จะใช้ต้องปรับให้เหมาะกับสภาพผิวที่กำลังรักษา ผลข้างเคียงอาจจะมีรอยดำบริเวณที่ยิงและกลายเป็นสะเก็ดในภายหลัง ควรทำซ้ำ 4 ครั้ง ห่างกันครั้งละ 1 เดือน วิธีนี้ต้องรักษากับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น เพราะถ้าปรับความยาวคลื่นแสงผิด การรักษาอาจจะไม่ผล รวมทั้งใบหน้าอาจะไหม้ได้

14. การเลเซอร์ วิธีนี้สามารถใช้รักษาหลุมสิวได้ทุกประเภท การเลเซอร์มีหลายรูปแบบขึ้นอยู่เครื่องมือหรือความแตกต่างกันของคลื่นแสงที่ใช้ ต้องรักษากับผู้เชี่ยวชาญเพราะถ้าหากพลาดไป หน้าอาจจะไหม้ดำไปนาน สำหรับการเลเซอร์มีอะไรบ้าง ดังนี้

  • Fractional CO2 เลเซอร์ชนิดนี้จะตัดพังผืดในแนวดิ่ง ซึ่งช่วยกระตุ้นการสร้างเซลล์ผิวใหม่ เป็นเลเซอร์ที่มีความรุนแรงมาก ข้อดีคือให้ผลลัพธ์ในการรักษาดีถึง 70% แต่ข้อเสียคือผิวหนังด้านบนถูกทำลาย จึงทำให้หลังทำหน้าจะไหม้ยับเยินไปนานอย่างน้อย 1-2 เดือน แต่ผิวที่สร้างขึ้นใหม่จะค่อยๆดีขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ หลุมสิวจะตื้นขึ้นอย่างเห็นได้ชัดในเวลาไม่นาน ควรทำซ้ำประมาณ 4 ครั้ง ห่างกันครั้งละ 1 เดือน หลังเลเซอร์หลีกเลี่ยงการอยู่ท่ามกลางแสงแดดให้มากที่สุด
  • Fraxel การเลเซอร์ชนิดนี้จะใช้คลื่นแสงที่มีความยาวคลื่นขนาดกลาง แต่มีอนุภาคที่เล็กมายิงเข้าไปทำให้เซลล์ตาย ร่างกายจึงกระตุ้นผิวให้เกิดการซ่อมแซมตัวเองและสร้างเซลล์ผิวใหม่ๆขึ้น ในขณะยิงค่อนข้างเจ็บพอสมควร ดังนั้นหลังทำต้องหลบแดดจนกว่าใบหน้าจะกลับมาแข็งแรง หากทำ 5-7 ครั้งขึ้นไป ผลการรักษาจะดีมากถึง 50-70% ดังนั้นควรทำซ้ำเรื่อยๆ แต่ละครั้งต้องห่างกัน 1 เดือนเพื่อพักผิวไม่ให้ผิวอักเสบจนเกินไป วิธีนี้ให้ผลลัพธ์เป็นที่น่าพอใจพอสมควร ซึ่งก็เป็นที่แน่นอนว่าย่อมแลกมาด้วยราคาที่สูงเอาเรื่อง
  • A Cool Touch Laser เป็นการเลเซอร์เพื่อให้น้ำในผิวอุ่นขึ้น ซึ่งจะไปกระตุ้นกระบวนการสร้างคอลลาเจนของผิวหนัง โดยปกติแล้วจะไม่เจ็บมากเพราะแพทย์จะทายาชาก่อนจะเลเซอร์ ผลข้างเคียงคือจะมีรอยแดงหลังทำเล็กน้อย แต่จะหายไปเองในเวลา 1-2 ชั่วโมง เหมาะกับหลุมสิวชนิด Rolling Scar ควรทำซ้ำประมาณ 5-7 ครั้ง แต่ละครั้งห่างกัน 2-4 สัปดาห์

15. การผ่าตัดหลุมสิว เป็นวิธีการรักษาที่เหมาะสำหรับผู้ที่ลองรักษามาหลายวีแล้วแต่ไม่หาย เป็นหลุมสิวไม่มาก แต่ลึกและกว้าง การผ่าตัดมี 4 วิธี ดังนี้

  • Punch Excision จะผ่าตัดเอาหลุมสิวออกแล้วเย็บแผลให้ติดกัน เหมาะสำหรับหลุมสิวชนิด Box Scar และ Ice Pick Scar
  •  Punch Elevation เป็นการผ่าตัดยกเนื้อในหลุมสิวขึ้นมาให้มีระดับเท่าๆกับเนื้อเยื่อปกติโดยรอบแล้วเย็บติดกัน เหมาสำหรับหลุมสิวชนิด Box Scar
  • Punch Grafting เป็นการผ่าตัดเอาเนื้อเยื่อบริเวณอื่นมาปิดที่หลุมสิวจากนั้นเย็บปิด เพื่อให้เนื้อเยื่อในหลุมสิวเจริญเติบโตจนมีระดับเท่าๆกับเนื้อเยื่อโดยรอบ เหมาะสำหรับหลุมที่ตื้นลึกไม่สม่ำเสมอ ใช้รักษาหลุมสิวชนิด Box Scar และ Ice Pick Scar
  • Elliptical Excision ทำโดยผ่าตัดกรีดแผลให้เป็นวงรีแล้วเย็บให้ติดกัน ซึ่งจะทำให้ปากหลามสิวปิดสนิท เมื่อแผลติดกันแห้งสนิทอาจจะมีแผลเป็นขนาดเล็กปรากฏจางๆ แต่ก็รักษาได้ง่ายกว่าหลุมสิวลึกๆ

แน่นอน วิธีนี้มีราคาประมาณ 1,000-2,000 บาทต่อ 1 หลุม จัดว่าราคาสูงอยู่เหมือนกันโดยเฉพาะกับผู้ที่มีหลุมสิวหลายหลุม สำหรับใครที่ตัดสินใจจะรักษาด้วยวิธีนี้ ควรหาข้อมูลให้ถี่ถ้วนและแน่ใจว่าตัวเองได้รักษากับผู้เชี่ยวชาญ ไม่อย่างนั้นผลการรักษาอาจจะไม่ออกมาดีอย่างที่หวัง หน้าก็อาจจะเป็นแผลเป็นมากกว่าเก่าอีกด้วย

วิธีดูแลตัวเองระหว่างการรักษาหลุมสิว

  • หยุดพฤติกรรมที่ทำให้มีหลุมสิวเพิ่ม เช่นการแกะเกาหน้า การบีบสิว 
  • หลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่ทำให้เป็นสิวอักเสบ เพราะจะเป็นหลุมได้ง่ายถ้าสิวหลุดไปแล้ว 
  • งดดื่มแอลกอฮอล์หรือสูบบุหรี่เพราะเป็นตัวการการทำร้ายความยืดหยุ่นของใบหน้า(ทำลายคอลลาเจนและอิลาสติน) 
  • พยายามหลีกเลี่ยงแสงแดดให้มากที่สุดโดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่ใช้การรักษาที่ทำให้ผิวไวต่อแดด 
  • ควรนวดหน้าเป็นประจำเพื่อกระตุ้นให้เลือดไหลเวียนได้สะดวก ผิวพรรณจะได้แข็งแรง
  • เลือกทานอาหารที่มีประโยชน์ ดื่มน้ำให้เพียงพอ ผิวจะซ่อมแซมตัวเองได้ดี 
  • บำรุงผิวเป็นประจำด้วยครีมที่ช่วยเพิ่มคอลลาเจนให้กับใบหน้า ถ้าหากไม่อยู่ในช่วงกำลังรักษา สามารถสครับใบหน้า(เลือกสครับแบบอ่อนโยน)ได้เดือนละ 3-4 ครั้ง

"หลุมสิว" เป็นปัญหาที่รักษาได้ยากมาก เมื่อผิวถูกทำลายไปแล้ว การจะรักษาให้กลับมาเหมือนเดิมเลย ต้องใช้เวลาและความอดทนเป็นอย่างมากในการดูแล บางคนมีหลุมสิวที่ลึกมาก การรักษาต้องแลกมาด้วยความเจ็บและค่ารักษาที่แพงหูฉี่ ดังนั้นวิธีที่ดีที่สุดสำหรับการรักษาหลุมสิวคือ “การไม่ทำให้ใบหน้ามีหลุมสิว” ซึ่งทำได้โดยการหลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่ทำให้เป็นสิวอักเสบและหยุดบีบหรือแกะเกาสิวนั่นเอง อ่านๆ ดูแล้วอาจจะฟังดูทำตามได้ยาก แต่ว่าขอให้จำไว้ให้ขึ้นใจ ถ้าไม่มีหลุมสิว ก็ไม่ต้องมาเสียเงินเสียทองและเจ็บตัวเพื่อรักษามันค่ะ ส่วนใครที่มาเจอกันในตอนที่ช้าไปแล้ว ขอให้มีความอดทนและตั้งใจ ค่อยๆ รักษากันไป ระหว่างทางก็พยายามไม่ให้เกิดหลุมสิวเพิ่ม รวมทั้งอย่าลืมบำรุงผิวอย่างสม่ำเสมอ อีกไม่นานหน้าใสๆ จะเป็นของเราแน่นอน