อายุรวัฒน์เวชศาสตร์ โรคภัยใกล้ตัว January 27, 2018 Share 0 Tweet Pin 0 “กลิ่นตัวแรง” อายเขา...ถ้าเต่าออกกลิ่น รีบรู้วิธีกำจัดด่วน!!คนเราทุกคนเกิดมาย่อมมีหลายสิ่งหลายอย่างที่แตกต่างกัน แม้แต่เรื่องเล็กๆ ที่หลายคนอาจมองข้าม คือ "กลิ่นตัว" ของตัวเอง กลิ่นตัวของแต่ละคนนั้นอาจมีกลิ่นที่ไม่เหมือนกัน แต่ปัญหามันอยู่ที่ว่าหากเราเป็นคนมีกลิ่นตัวที่แรงแต่เรากลับไม่รู้ตัว เนื่องจากความคุ้นชิน แต่กลับไปสร้างความรำคาญใจให้กับผู้อื่น หรือสร้างความอับอายให้กับตัวเอง ดังนั้นเราจึงควรรู้ถึงสาเหตุว่าปัญหากลิ่นตัวแรงนี้เกิดมาจากอะไร มีวิธีการรักษาอย่างไร และมีตัวช่วยในการลดกลิ่นตัวอะไรบ้าง วันนี้เรามีคำตอบมาฝากกัน ที่มาของเหงื่อ/ ต่อมเหงื่อโดยปกติแล้วร่างกายของเรานั้นจะมีต่อมเหงื่ออยู่ด้วยกัน 2 ต่อม ได้แก่1. ต่อม Eccrine เป็นต่อมเหงื่อชนิดที่ไม่มีกลิ่น จะผลิตเหงื่อที่มีลักษณะใสเหมือนน้ำ ซึ่งเหงื่อชนิดนี้จะถูกขับออกมาเมื่อมีการทำกิจกรรมหนักๆ หรือในขณะอากาศร้อน เพื่อเป็นการรักษาอุณหภูมิในร่างกาย2. ต่อม Apocrine เป็นต่อมเหงื่อชนิดที่มีกลิ่น จะพบอยู่บางแห่งของร่างกาย พบมากที่สุดคือศีรษะ รักแร้ ขาหนีบ ก้น และแผ่นหลัง จะผลิตเหงื่อที่มีลักษณะเหนียวใส มีส่วนผสมของไขมันอยู่มาก ซึ่งเมื่อเหงื่อชนิดนี้ถูกขับออกมาจะก่อให้เกิดกลิ่นไม่พึงประสงค์ได้ ในเพศชายและเพศหญิงมีความแตกต่างกัน คือ เพศหญิงจะมีต่อมเหงื่อมากกว่าเพศชาย แต่เพศชายจะขับเหงื่อออกมามากกว่าเพศหญิงสาเหตุของการเกิดกลิ่นตัว1. อาหารบางชนิดก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้มีกลิ่นตัวแรง โดยเฉพาะในกลุ่มอาหารพวกเครื่องเทศ และอาหารกลุ่มที่มีโคลีนสูงๆ เช่น เนื้อสัตว์ ตับ ไข่ พืชประเภทผักถั่ว เต้าเจี้ยว แฮม ปลาทูน่า เป็นต้น หรือแม้แต่อาหารที่มีรสจัดก็ตามล้วนทำให้เกิดกลิ่นตัวทั้งสิ้น เพราะมีผลทำให้ต่อเหงื่อขับไขมันออกมาในปริมาณมาก โดยเฉพาะบริเวณรักแร้ ดังนั้นผู้ที่ชอบรับประทานอาหารจำพวกนี้จึงมักเป็นบุคคลที่มีกลิ่นตัว2. การทำความสะอาดมากจนเกินไปก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ปัญหากลิ่นตัวแรง เช่น การใช้สบู่ต้านเชื้อแบคทีเรีย การสครับผิว หรือการใช้แอลกอฮอล์เช็ดทำความสะอาด เพราะสิ่งเหล่านี้ล้วนแต่จะทำให้ผิวของคุณแห้งและแตก ดังนั้นจึงทำให้ต่อมเหงื่อต้องทำงานหนักมากขึ้นเพื่อผลิตเหงื่อให้มากขึ้น เพื่อสร้างความชุ่มชื้นให้แก่ผิว แต่ผลที่ตามมาคือกลิ่นตัวที่มากขึ้นด้วยเช่นกัน3. เรื่องของอารมณ์เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ก่อให้เกิดปัญหากลิ่นตัวแรง สังเกตได้จากในขณะที่เราต้องอยู่ในสถานการณ์ที่มีความเครียดมากๆ หรือโกรธมากๆ หรือตกใจมากๆ จะมีเหงื่อออกมาค่อนข้างมาก โดยเฉพาะรักแร้ ขาหนีบ หรือฝ่ามือ ดังนั้นเมื่อเหงื่อออกมามากๆ จึงส่งผลให้เกิดกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์ที่ตามมาด้วย นอกจากนี้ยังมีปัจจัยย่อยๆ ที่ก่อให้เกิดปัญหากลิ่นตัวแรง เช่น ฮอร์โมน เป็นสาเหตุหนึ่งที่ก่อให้เกิดกลิ่นตัวที่รุนแรงในพวกวัยรุ่น ความผิดปกติบางอย่างของร่างกายที่ส่งผลให้เกิดกลิ่นได้ วัยทอง การรับประทานยาบางชนิดในกลุ่มของ Benzoyl Peroxide การสวมเสื้อผ้าที่ไม่ระบายเหงื่อหรืออมเหงื่อ หรืออากาศร้อนทำให้เกิดแบคทีเรียสะสมตามตัวได้ง่าย29 วิธีดับกลิ่นตัวแรง แบบเอาอยู่วิธีการดับกลิ่นตัวนั้นมีอยู่ด้วยกันหลายวิธีมาก ดังนั้นควรเลือกวิธีการดับกลิ่นตัวที่เหมาะสมกับสาเหตุการเกิดกลิ่นตัว ส่วนจะมีวิธีการดับกลิ่นตัวอย่างไรบ้างนั้นไปดูกันเลย1. อาบน้ำให้สะอาดอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง โดยจะต้องอาบอย่างทั่วถึงทุกซอกทุกมุมในร่างกาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในจุดอับชื้นหรือตามข้อพับ และใช้สครับรักแร้อาทิตย์ละ 3 ครั้ง วิธีนี้เป็นวิธีกำจัดกลิ่นตัวที่ได้ผลมากที่สุด2. เลือกใช้สบู่ที่ช่วยยับยั้งเชื้อแบคทีเรียโดยตรง เน้นฟอกบริเวณที่มีการหมักหมมของเหงื่อ3. หลังการปัสสาวะหรืออุจจาระแล้ว ควรล้างทำความสะอาดอวัยวะเพศและเช็ดให้แห้ง4. สำหรับสตรีที่มีประจำเดือนควรล้างอวัยวะเพศให้สะอาดและหมั่นเปลี่ยนผ้าอนามัยอยู่เสมอ5. โกนขน ไม่ว่าจะเป็นขนรักแร้ของผู้หญิง หรือผู้ชายบางคนจะมีขนขึ้นตั้งแต่แผงอกไล่ลงมายันขนหน้าแข้ง เพราะขนก็เป็นแหล่งสะสมเชื้อแบคทีเรียจนก่อให้เกิดกลิ่นได้6. หากรู้ตัวว่าเป็นคนที่เหงื่อออกง่ายหรือออกมากอยู่แล้ว ก็ควรเลือกอยู่ในสถานที่ที่มีอากาศถ่ายเทไม่ร้อน เพราะจะได้มีมีเหงื่อออกมาก7. เปลี่ยนเสื้อผ้าทุกวัน รวมถึงชุดชั้นในและถุงเท้าด้วย เพราะหากเราใส่เสื้อชุดเดิมก็จะทำให้เกิดกลิ่นอันไม่พึงประสงค์ได้8. เลือกใส่เสื้อผ้าหลวมๆ เพราะเสื้อผ้าที่คับพอดีตัว จะทำให้มีเหงื่อออกมากและมีการระบายอากาศได้ไม่ดี จนทำให้เกิดกลิ่นตัวได้9. เลือกใช้เนื้อผ้าจากธรรมชาติ โดยเส้นใยจากธรรมชาติอย่างคอตตอนและลินิน จะช่วยระบายอากาศได้ดีกว่าใยสังเคราะห์10. ทำความสะอาดเสื้อผ้าให้ดีโดยเฉพาะที่มีกลิ่นติดอยู่ แนะนำให้ซักมือและเน้นบริเวณใต้วงแขน ส่วนตอนตากผ้าก็ควรตากที่ในโล่งโปร่งและตากให้แห้งสนิท11. การใช้ผ้าขนหนูหรือผ้าเช็ดหน้ามาชุบน้ำแล้วบิดให้หมาด หยดน้ำหอมลงไปเล็กน้อย แล้วนำมาเช็ดตามร่างกาย ใต้วงแขน ข้อพับ และแผ่นหลังให้ทั่ว วิธีนี้จะช่วยขจัดกลิ่นได้12. ไม่ควรขัดผิวบ่อยๆ เพราะการขัดผิวจะทำให้แบคทีเรียที่มีประโยชน์ต่อร่างกายถูกทำลาย ก่อให้เกิดกลิ่นตัวได้ง่าย13. ผ่อนคลายความเครียด เพราะอารมณ์มีส่วนทำให้เกิดกลิ่นตัวได้ ดังนั้นจึงควรหาอะไรทำเพื่อผ่อนคลายความเครียด14. เลือกรับประทานอาหารให้หลากหลายและมีประโยชน์ รับประทานโปรตีนจำพวกธัญพืชต่างๆ ผักสด ผลไม้สด โดยเฉพาะแก้วมังกร รวมไปถึงอาหารที่มีธาตุสังกะสีหรือแมกนีเซียม15. หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารที่มีกลิ่นแรง อาหารจำพวกเนื้อสัตว์ แกงกะหรี่ กระเทียม ชะอม สะตอ ทุเรียน เครื่องเทศต่างๆ รวมทั้งช็อกโกแลต ลูกเกด ถั่วลิสง หากจะรับประทานก็ควรรับประทานให้พอเหมาะ ไม่รับประทานมากจนเกินไป16. ดีทอกซ์ (Detox) สารพิษที่สะสมอยู่ในร่างกายก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งของการเกิดกลิ่นตัวได้ การดีทอกซ์เป็นประจำก็อาจจะช่วยแก้ปัญหานี้ได้17. การเลือกใช้แป้งดับกลิ่นตัว ที่นิยมกันมากจะมีอยู่ 2 ยี่ห้อ คือ แป้งตราเต่าเหยียบโลกและแป้งสะอาด โดยนำมาใช้ทาให้ทั่วโดยเฉพาะบริเวณรักแร้ สามารถหาซื้อได้ตามร้านค้าทั่วไป18. การใช้น้ำหอม โรลออน สเปรย์ระงับกลิ่นตัว โดยให้ใช้ฉีดหรือทาให้ทั่วร่างกายเพื่อระงับกลิ่น แม้ไม่ใช่การแก้ปัญหาที่ตรงจุด แต่ก็ถือว่าได้ผลในระดับดี19. น้ำยาระงับกลิ่นกาย หรือ ดีโอโดแรนท์ (Deodorant) โดยน้ำยาระงับกลิ่นกายเป็นสารเคมีที่มีฤทธิ์ยับยั้งเชื้อแบคทีเรียได้ ยับยั้งกระบวนการที่ทำให้เกิดกลิ่น ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่าให้เปลี่ยนยี่ห้อหรือสูตรน้ำยาระงับกลิ่นกายทุกๆ 6 เดือน เนื่องจากร่างกายสามารถต่อต้านสารระงับเหงื่อเหล่านั้นได้20. ยาระงับเหงื่อ หรือ แอนตีเพอร์สไปแรนท์ (antiperspirant) ให้เลือกใช้แบบที่ไม่มีส่วนผสมของน้ำหอม เพราะจะทำให้เกิดการอักเสบและทำให้รักแร้ดำ โดยยาทาชนิดนี้จะทำให้เกิดการอุดตันในท่อเหงื่อและลดการไหลของเหงื่อได้ ทางที่ดีคุณควรไปพบแพทย์เพื่อปรึกษาการใช้21. สารส้ม (Focal) ของดีที่ช่วยดับกลิ่นอันไม่พึงประสงค์ใต้วงแขนได้อย่างดีเยี่ยม ใช้หลังอาบน้ำ นอกจากจะสามารถช่วยดับกลิ่นได้อย่างอยู่หมัดแล้วนั้นยังช่วยให้รักแร้ขาวด้วย22. ปูนแดงก็ใช้ลดกลิ่นตัวได้ ด้วยการใช้ปูนแดงผสมกับน้ำทารักแร้หลังอาบน้ำ หรือจะใช้ปูนแดงและใบตำลึงนำมาตำผสมกัน ใช้พอกรักแร้ทิ้งไว้ประมาณ 20 นาทีแล้วล้างออก หากทำเป็นประจำกลิ่นตัวก็จะหายไป อีกทั้งยังทำให้ขนรักแร้ลดน้อยลงอีกด้วย23. เบคกิ้งโซดาหรือผงฟูก็ช่วยขจัดกลิ่นตัวได้ โดยให้นำเบคกิ้งโซดามาผสมกับน้ำเล็กน้อยให้พอข้น แล้วนำมาทาบริเวณรักแร้ทิ้งไว้ประมาณ 10 นาที แล้วล้างออก เมื่อทำเป็นประจำจะช่วยให้กลิ่นตัวลดลง24. วิตามินและแร่ธาตุ ก็ช่วยต้านกลิ่นตัวได้ เช่น วิตามินซีที่ช่วยผ่อนคลายความเครียด ซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดกลิ่นตัว หรือเลือกรับประทานวิตามินบี 1 รับประทานวิตามินบีคอมเพล็กซ์ 25,000 I.U. นอกจากนี้วิตามินบี 6 สังกะสี และแมกนีเซียมก็ช่วยได้เช่นกัน25. โบทอกซ์ (Botox) สำหรับผู้ที่มีกลิ่นตัวแรงมากจนวิธีไหนก็เอาไม่อยู่ การรักษาด้วยวิธีการฉีดโบทอกซ์ก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่สามารถช่วยลดเหงื่อบริเวณรักแร้ได้ดี ส่งผลให้มีกลิ่นตัวลดลง แต่จะต้องฉีดยาซ้ำเรื่อยๆ ทุก 3 - 6 เดือน และราคาต่อครั้งก็ค่อนข้างสูง26. Miradry เป็นการรักษาโดยใช้อุปกรณ์ทางการแพทย์ที่มีประสิทธิภาพและปลอดภัย คือการใช้ปืนไมโครเวฟทำลายต่อมเหงื่อใต้วงแขนอย่างถาวร ซึ่งจะไม่ส่งผลเสียอย่างแน่นอน ไม่เพียงแต่วิธีนี้จะช่วยแก้ปัญหาเรื่องกลิ่นเหงื่อใต้วงแขนได้แล้วยังช่วยกำจัดขนรักแร้ใต้วงแขนได้อีกด้วย27. คลื่นความถี่วิทยุ (Radio Frequency: RF) การทำงานโดยการใช้คลื่นความถี่วิทยุเข้าไปทำลายต่อมกลิ่นและต่อมเหงื่อให้หยุดการทำงานอย่างถาวร และยังช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในชั้วผิวหนัง ทำให้ผิวตึงกระชับและมีความยืดหยุ่นได้อีกด้วย28. ไอออนโต (Iontophoresis) การทำไอออนโตที่ฝ่ามือและฝ่าเท้าสามารถรักษาภาวะเหงื่อออกมาจากฝ่ามือและฝ่าเท้าได้ โดยการใช้มือแช่น้ำแล้วผ่านกระแสไฟฟ้าอ่อนๆ ประมาณ 30 นาทีต่อครั้ง และต้องทำซ้ำหลายครั้ง ๆ29. เลเซอร์ YAG เป็นเลเซอร์ที่ใช้กำจัดขนรักแร้เป็นหลัก และมีผลพลอยได้คือช่วยกำจัดกลิ่นรักแร้ไปได้ในตัวด้วย8 สมุนไพรช่วยดับกลิ่นตัวแรง1. โรสแมรี่ (สมุนไพรช่วยดับกลิ่นตัว) แม้จะเป็นสมุนไพรของต่างประเทศ แต่เราก็พอสามารถหาได้ โรสแมรี่มีสรรพคุณในการกำจัดเชื้อแบคทีเรียและเชื้อราได้เป็นอย่างดี ดังนั้นกลิ่นตัวที่เกิดขึ้นจากเชื้อแบคทีเรียที่หมักหมมอยู่ใต้วงแขนของเราก็จะไม่เกิดเมื่อใช้โรสแมรี่ ส่วนวิธีการก็ไม่ยาก เพียงผสมใบโรสแมรี่แห้งประมาณ 1/2 ถ้วยตวง คั้นในน้ำประมาณ 4 ถ้วยตวง แล้วนำไปผสมน้ำอาบเป็นประจำทุกวันเท่านี้ก็ช่วยได้แล้ว2. ออริกาโน่ (สมุนไพรช่วยดับกลิ่นตัว) ออริกาโน่ก็มีคุณสมบัติต้านแบคทีเรียและเชื้อราเหมือนกัน วิธีการใช้ก็คือ ผสมออริกาโน่ลงในน้ำที่ใช้อาบหรือแช่ เท่านี้ก็หมดปัญหากลิ่นตัวแรงแล้ว แต่เนื่องจากออริกาโน่มีสารที่ทำปฏิกิริยากับยาป้องกันการแข็งตัวของเลือดได้ ดังนั้นคนที่ใช้ยานี้อยู่อาจต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ3. อบเชย ขิง ลูกจันทน์ (สมุนไพรช่วยดับกลิ่นตัว) มีสรรพคุณต้านแบคทีเรียเหมือนกัน เพียงแค่ใช้ผงขิง อบเชย หรือลูกจันทน์เทศบดละเอียดผสมกับเบกกิ้งโซดาให้เข้ากันแล้วนำมาทาเป็นแป้งที่ใต้วงแขน เพียงเท่านี้ก็หมดห่วงเรื่องกลิ่นตัวแรงได้เลย4. น้ำมันหอมระเหย วิธีดับกลิ่นตัวโดยใช้น้ำมันหอมระเหยกลิ่นลาเวนเดอร์ หรือน้ำมันหอมระเหยกลิ่นอื่นๆ มาฉีดใต้วงแขนก็พอช่วยได้ แต่ทั้งนี้ก็อย่าลืมทดสอบอาการแพ้ก่อนใช้ เพราะน้ำมันหอมระเหยซึมเข้าสู่ผิวหนังได้เร็ว5. มะนาว กรดในมะนาวจะช่วยลดค่า pH ของผิวใต้วงแขนได้ ส่งผลให้แบคทีเรียเติบโตได้ยาก โดยวิธีใช้ก็คือ หั่นมะนาวเป็น 2 ซีก จากนั้นคั้นน้ำมะนาว 1 ซีกมาผสมกับน้ำสะอาด 1/2-1 ถ้วยตวง แล้วทาให้ทั่ววงแขน เพียงเท่านี้ก็สามารถช่วยปัยหากลิ่นใต้วงแขนได้6. ที ทรี ออยล์ (สมุนไพรช่วยดับกลิ่นตัว) มีคุณสมบัติต้านเชื้อแบคทีเรียและมีฤทธิ์คล้ายยาปฏิชีวนะอ่อนๆ ซึ่งสามารถกำจัดแบคทีเรียที่เกิดกับผิวหนังของเราได้ ทั้งยังช่วยระงับเหงื่อใต้วงแขนด้วย วิธีการใช้คือหยด ทีทรี ออยล์ 2 หยดต่อน้ำสะอาด 2 ช้อนโต๊ะ จากนั้นเทส่วนผสมลงกระบอกสเปรย์ ใช้ฉีดเป็นน้ำหอมระงับกลิ่นกายได้7. เปลือกมังคุด มีสารแมงโกสตินที่ช่วยลดอาการอักเสบและมีฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรีย โดยวิธีใช้ให้นำเปลือกมังคุดแห้ง 1 ส่วน ต้มกับน้ำ 3 ส่วน จากนั้นเคี่ยวไปเรื่อยๆ จนปริมาณน้ำลดลงเกินครึ่งแล้วค่อยกรองเอากากออก จากนั้นนำไปผสมกับน้ำเปล่า 20 ลิตรแล้วใช้อาบ จะช่วยลดปัญหากลิ่นตัวแรงได้8. มะขามเปียก (สมุนไพรช่วยดับกลิ่นตัว) นอกจากจะมีฤทธิ์กำจัดกลิ่นไม่พึงประสงค์แล้ว มะขามเปียกยังจะช่วยกำจัดเซลล์ผิว ที่ตายแล้วไม่ให้เกิดการหมักหมมเป็นแหล่งสะสมของเชื้อแบคทีเรีย โดยวิธีใช้เพียงคั้นน้ำมะขามเปียกปริมาณพอเหมาะ จากนั้นกรองด้วยผ้าขาวบาง แล้วใช้น้ำมะขามแทนสบู่ตอนอาบน้ำ จากนั้นก็ล้างออกให้สะอาดจากที่ได้กล่าวมาแล้วนั้น แม้ปัญหาการมีกลิ่นตัวแรงอาจไม่ใช่อาการที่อันตรายอะไร เพียงแต่สร้างความรำคาญใจให้กับคนรอบข้าง และสร้างความอับอายให้กับตัวเราเอง ดังนั้นการแก้ปัญหานี้จึงเป็นเรื่องที่จำเป็นในชีวิตประจำวัน ดังนั้นใครที่มีปัญากลิ่นตัวแรงควรรีบเลือกวิธีการที่เหมาะสมกับตัวเราและได้ผลถาวร เพราะหากขืนปล่อยไว้จะส่งผลเสียต่อบุคลิกภาพเป็นอย่างมาก