free web tracker, fire_lady 4 สมุนไพรแก้เหน็บชา…อาการเหน็บชา บรรเทาได้ด้วยสมุนไพรใกล้ตัว • สุขภาพดี

4 สมุนไพรแก้เหน็บชา...อาการเหน็บชา ป้องกันและบรรเทาได้ด้วยสมุนไพรใกล้ตัว

สมุนไพรแก้เหน็บชา

"โรคเหน็บชา" ดูเหมือนเป็นโรคดาษดื่นที่ใครๆ ก็เป็นกันได้ แต่จริงๆ แล้วมันไม่เหมือนเหน็บชาที่เกิดจากการนั่งทับหรืออยู่ในอิริยาบถเดิมนานๆ โรคนี้อันตรายมากกว่าที่เราคิด เพราะว่าถ้าหากไม่สนใจดูแล ไม่รักษา อาจจะทำให้เกิดอันตรายจนถึงแก่ชีวิตได้ นับเป็นโรคที่น่ากลัวไม่น้อยเลยค่ะ แต่ว่าเหน็บชานอกจากจะรักษาได้ด้วยวิธีการแพทย์แผนปัจจุบันแล้ว ยังบรรเทาได้ด้วยสมุนไพรแก้เหน็บชาหลายๆชนิดที่เรานำมาในกันวันนี้ด้วย แต่ก่อนจะไปดูกันว่ามีสมุนไพรอะไรบ้าง มาทำความรู้จักโรคนี้กันให้มากขึ้นก่อนดีกว่าค่ะ

โรคเหน็บชา เป็นอย่างไร?

เหน็บชา ( Beriberi ) เป็นโรคที่มีสาเหตุมาจากการขาดวิตามินบี 1 หรือไทอามีน ( Thiamine ) ซึ่งเป็นวิตามินที่ร่างกายไม่สามารถสังเคราะห์ขึ้นมาเองได้ ต้องได้รับมาจากภายนอกเท่านั้น วิตามินบี 1 เป็นสารสำคัญที่มีหน้าที่เร่งกระบวนการเผาผลาญสารอาหารในกลุ่มคาร์โบไฮเดรต โปรตีน และโปรตีน ให้กลายเป็นพลังงานที่ร่างกายจะนำไปใช้ได้ ทั้งยังมีบทบาทสำคัญในการเหนี่ยวนำกระแสประสาท ทำให้ระบบประสาททำงานได้เป็นปกติ   

โรคเหน็บชามักพบมากในชนบทโซนภาคเหนือและภาคอีสาน โดยสามารถพบได้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ โรคนี้มักถูกเข้าใจผิดว่าเป็นโรคเดียวกับเหน็บชาที่มักเกิดขึ้นจากการอยู่ในอิริยาบถเดิมนานๆ หรือเป็นโรคที่เกิดได้เฉพาะกับคนที่ผอมแห้งแรงน้อย แต่จริงๆ แล้วเป็นความเข้าใจผิด เพราะเหน็บชาที่ไม่ใช่โรคแค่ปรับเปลี่ยนอิริยาบถ มายืนหรือนั่งนานๆ ก็ดีขึ้นแล้ว ส่วนโรคเหน็บชานั้นจะไม่หายถ้าเปลี่ยนท่า เป็นอาการที่อวัยวะส่วนหนึ่งส่วนหนึ่งหมดความรู้สึกไปโดยสิ้นเชิง ไม่รู้สึกเจ็บ ไม่รู้สึกร้อนหรือเย็น และสามารถเกิดขึ้นได้กับคนทั่วไป ไม่ใช่เฉพาะแค่กับคนที่ผอมแห้งเท่านั้น  และที่สำคัญโรคนี้เป็นโรคอันตรายมาก หากปล่อยไว้โดยไม่ทำการรักษา อาจทำให้เสียชีวิตได้

สาเหตุที่ทำให้เกิดโรคเหน็บชา

เกิดจากการที่ร่างกายขาดวิตามินบี 1 ซึ่งเกิดขึ้นได้จากหลายปัจจัย ดังนี้

การรับประทานอาหาร เป็นสาเหตุหลักของโรคเหน็บชา เพราะด้วยวิถีชีวิตคนไทยส่วนใหญ่ มักทานข้าวขัดสี เวลาหุงก็มักจะหุงแบบซาวน้ำก่อน 1 ครั้ง ทำให้สูญเสียวิตามินบี 1 ไปแทบเกือบหมด นอกจากนี้ยังไม่ค่อยทานอาหารชนิดอื่นๆที่อุดมไปด้วยวิตามินบี 1 เช่น ข้าวซ้อมมือ ข้าวขัดสี ถั่ว ลูกเดือย งาขาว งาดำ ธัญพืชอื่นๆ เกือบทุกชนิด นอกจากนี้ยังชอบทานอาหารที่ขัดขวางการดูดซึมวิตามินบี 1 เช่น ปลาร้า ปูดอง ลาบหลู่ดิบ ปลาดิบ หอยดิบ เป็นต้น

ภาวะร่างกายเผาผลาญพลังงานมากเกินไป เช่น ในขณะตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร ผู้ป่วยโรคไทรอยด์ บุคคลที่ใช้พลังงานมาก เช่น กรรมกร ชาวนา นักกีฬา เป็นต้น

ผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับตับ เช่น ผู้ที่ดื่มสุราเป็นประจำ ผู้ที่เป็นโรคตับอักเสบ ตับแข็ง ไขมันพอกตับ เป็นต้น เพราะตับจะไม่สามารถเอาวิตามินบี 1 ไปใช้ได้

อาการของโรคเหน็บชา

1. โรคเหน็บชาในเด็ก มักพบในเด็กทารกอายุ 2-3 เดือนที่ทานแต่นมแม่อย่างเดียว และแม่เป็นผู้ที่ขาดวิตามินบี 1 ด้วย ทารกที่มีภาวะนี้จะมีอาการหอบเหนื่อย หายใจไม่สะดวก หน้าเขียว หายใจเร็ว หัวใจเต้นเร็ว หัวใจโต ร้องไห้แล้วไม่มีเสียง เป็นต้น หากพาไม่รักษาไม่ทัน อาจเสียชีวิตได้ในเวลาไม่กี่ชั่วโมง

2. โรคเหน็บชาในผู้ใหญ่ แบ่งออกเป็น 3 ประเภท ดังนี้

  • โรคเหน็บชาประเภทผอมแห้ง จะมีอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรง แขนขาไม่มีกำลัง ชาที่ปลายมือและเท้า แต่ไม่บวม เวลานั่งยองๆแล้วจะลุกไม่ได้
  • โรคเหน็บชาประเภทเปียก จะชาตามปลายมือปลายเท้าเช่นกัน แต่จะพบอาการบวมร่วมด้วย มีของเหลวคั่งในช่องท้องและปอด หัวใจโต หัวใจเต้นแรงและเร็วจนอาจจะวายได้
  • โรคเหน็บชาประเภท Wernicke-Korsakoff Syndrome จะพบได้บ่อยในผู้ป่วยโรคพิษสุราเรื้อรัง โดยจะมีอาการสำคัญๆ คือ เดินเซ ลูกตาไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ตามปกติ มีอาการทางจิต 

4 สมุนไพรแก้เหน็บชา

1. พริก (สมุนไพรแก้เหน็บชา) พริกมีสารแคปไซซินซึ่งเป็นสารที่ทำให้เรารู้สึกเผ็ดร้อนเวลาทานนั่นเอง พริกช่วยบรรเทาอาการปวดตามปลายประสาท แก้เหน็บชา ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนโลหิต ลดไขมันในเส้นเลือด ช่วยกระตุ้นการเผาผลาญ ดังนั้นใครที่ชอบทานอาหารรสเผ็ดๆ อยู่แล้วก็คงสบายๆ ได้ประโยชน์อีกต่อ แต่ถ้าใครไม่ทานเผ็ดเลย ลองทานสักนิด ถ้ากลัวเผ็ดมากก็ใส่พริกน้อยๆ ก็ได้ค่ะ เช่น ส้มตำครกหนึ่งใส่พริกเม็ดเล็กๆ สักครึ่งเม็ด พอเริ่มทานได้แล้วค่อยเพิ่มปริมาณขึ้นค่ะ

2. ขิง (สมุนไพรแก้เหน็บชา) ขิงมีสรรพคุณบางอย่างที่คล้ายพริกคือ แก้การปวดปลายประสาท บรรเทาอาการเหน็บชา ป้องกันโรคอัมพฤกษ์ อัมพาต ป้องกันโรคแขนขาอ่อนแรง นอกจากนี้ยังเป็นสมุนไพรช่วยย่อย กระตุ้นการหลั่งกรดในกระเพาะอาหาร ช่วยขับลม แก้ท้องอืด ท้องเฟ้อได้เป็นอย่างดี ใครอยากทานขิงแต่ไม่ชอบรสชาติเผ็ดซ่าของมัน ให้นำมาปรุงอาหารเช่น โจ๊ก ไก่หรือหมูผัดขิง เป็นต้น จะช่วยลดดีกรีความเผ็ดลง หรือถ้าใครไม่ชอบทานแบบนี้ จะนำขิงแก่มาต้ม เติมน้ำตาลหรือน้ำผึ้งเล็กน้อย จะได้น้ำขิงอุ่นๆ หอมๆ ไว้จิบตอนเช้าก็ไม่เลวเลยค่ะ

3. กะทกรก (สมุนไพรแก้เหน็บชา) เป็นไม้เลื้อยชนิดหนึ่ง พบเห็นได้ตามข้างทางทั่วๆ ไปจนหลายคนมองว่าเป็นวัชพืชไร้ประโยชน์ แต่กะทกรกอาการเหน็บชาได้ดีมาก เพียงนำรากสดๆ พอประมาณมาต้มกับน้ำแต่ใช้น้ำมากหน่อย ต้มจนเดือด แล้วดื่มในขณะยังอุ่นๆ หรือจิบครั้งละน้อยตลอดทั้งวัน นอกจากจะเป็นสมุนไพรที่มีสรรพคุณแก้เหน็บชาแล้วยังบำรุงหัวใจ ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดได้อีกด้วย

4. น้ำมันรำข้าว  (สมุนไพรแก้เหน็บชา) กระตุ้นการสร้างเยื้อหุ้มปลายประสาท ซึ่งเยื่อนี้เปรียบเสมือนปลอกที่ทำหน้าที่ป้องกันไม่ให้ปลายประสาทเกิดการบาดเจ็บหรือถูกทำลาย เมื่อเส้นประสาทและปลายประสาทแข็งแรง จะทำให้โรคเหน็บชากำเริบได้น้อยลง

ประโยชน์ของน้ำมันรำข้าว

การป้องกันโรคเหน็บชา

1. ทานอาหารที่อุดมไปด้วยวิตามินบี 1 อย่างที่เรารู้กันแล้วว่าสาเหตุหลักของโรคนี้คือ การขาดวิตามินบี 1 ดังนั้นแก้ปัญหาที่ถูกต้องที่สุดคือ ทานอาหารที่อุดมไปด้วยวิตามินบี 1 ให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกายนั่นเอง ซึ่งอาหารที่อยากแนะนำมีหลายชนิดให้เลือกทาน ได้แก่ ข้าวกล้อง ข้าวสีนิล ข้าวมันปู ถั่วทุกชนิด ลูกเดือย งาดำ ข้าวโพด ข้าวบาร์เลย์ ข้าวสาลี จมูกข้าว รำข้าว เม็ดมะม่วงหิมพานต์ แมคคาเดเมีย ถั่วลันเตา เมล็ดทานตะวัน เมล็ดฟักทอง ขนมปังโฮลวีต มะขามหวาน ผักทุกชนิด เนื้อหมู ไข่ ตับ ปลาดุก ปลาทู

2. ลดอาหารที่ขัดขวางการดูดซึมวิตามินบี 1 เช่น อาหารหมักดองทุกประเภท เนื้อสัตว์ดิบๆ อาหารที่ปรุงสุกๆดิบๆ แอลกอฮอล์ ชา กาแฟ หมากพลู เป็นต้น

3. ไม่ซาวข้าว การหุงข้าวไม่ควรซาวน้ำหลายครั้ง เพราะจะทำให้สูญเสียวิตามินบี 1 ไปอย่างน่าเสียดาย

4. เลือกวิธีปรุงอาหารให้เหมาะสม เพราะการปรุงอาหาร ถ้ามีการแช่น้ำแล้วเทน้ำทิ้ง หรือปรุงด้วยวิธีต้มจะสูญเสียวิตามินบี 1 ไปมากกว่า 50%

ใครที่รู้สึกแขนขาไม่มีแรงบ่อยๆ หรือชาตรงนั้นตรงนี้ที ลองทานสมุนไพรรักษาโรคเหน็บชากันได้ รับรองว่าเป็นสมุนไพรที่หาได้ไม่ยาก บางอย่างก็เป็นพืชที่เราใช้ปรุงอาหารกันทั่วไปในชีวิตประจำวันนี่เอง แต่อย่าลืมว่าต้นเหตุที่แท้จริงของโรคนี้คือการที่ร่างกายขาดวิตามินบี 1 ดังนั้นการป้องกันที่ดีที่สุดคือการทานอาหารที่มีวิตามินบี 1 ให้มากเพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย เพราะการป้องกันไม่ให้เป็นตั้งแต่แรกย่อมดีกว่ามาคอยรักษาทีหลังอย่างแน่นอน