free web tracker, fire_lady Thể thao giả tưởng - từ khởi đầu khiêm tốn đến phát triển theo tầng bình lưu header .th { display: none; } .scbp { width: 100%; } .bt.dp { padding-top: 0px; padding-bottom: 0px; } /* .bt.dp { padding-top: 8px !important; padding-bottom: 5px !important; text-align: center; } */ /* begin share buttons size */ .mets .bps .ss a span { display: block; float: left; line-height: 16px !important; padding: 6px; font-size: small !important; } .mets .bps .ss a:before { font-family: 'performag-icomoon'; speak: none; font-style: normal; font-weight: normal; font-variant: normal; text-transform: none; line-height: 1; -webkit-font-smoothing: antialiased; -moz-osx-font-smoothing: grayscale; font-size: 16px !important; line-height: 28px !important; position: absolute; left: 6px !important; } .mets .bps .ss a .ct { font-weight: 700; min-width: 2px !important; text-align: center; } .mets .bps .ss a { -webkit-transition: opacity,.3s,ease-in-out; -moz-transition: opacity,.3s,ease-in-out; transition: opacity,.3s,ease-in-out; color: #fff; cursor: pointer; display: block; min-height: 28px !important; margin-left: 6px; position: relative; padding-left: 20px !important; } /* end share buttons size */ /* begin reduce distance between the top custom ad and date */ .met .meta { margin-bottom: 6px !important; width: 37%; } /* end reduce distance between the top custom ad and date */ /* This is for AdNow */ .tt-end-of-post-ad { width: auto !important; height: auto !important; } p { font-size: 18px; } #tve_editor ul { list-style-position: inherit; }

25 วิธีดับกลิ่นจุดซ่อนเร้น จะกลิ่นแรงแค่ไหน ก็รักษาได้อยู่หมัด

จุดซ่อนเร้นก็สำคัญกับสาวๆ ไม่แพ้ใบหน้า เพราะมีความบอบบาง แพ้ง่าย ต้องใส่ใจดูแลเป็นพิเศษ ถ้าจุดซ่อนเร้นมีกลิ่น จะถือเป็นเรื่องที่น่าอายสำหรับสาวๆ อย่างมาก เพราะบางคนกลิ่นแรงจนคนรอบข้างได้กลิ่น ทำให้หมดความมั่นใจในการใช้ชีวิตไปเลย มาดูกันว่ากลิ่นจากจุดซ่อนเร้นนี้เกิดจากสาเหตุใดและสามารถแก้ไข กำจัดกลิ่นจุดซ่อนเร้นได้ด้วยวิธีใดบ้าง

กลิ่นจากจุดซ่อนเร้น

บริเวณจุดซ่อนเร้นหรือช่องคลอดจะมีลักษณะเป็นเนื้อเยื่อเมือก ซึ่งจะมีสารคัดหลั่งหลั่งออกมาเพื่อเคลือบเนื้อเยื่อเหล่านี้ให้ชุ่มชื่นอยู่เสมอ ทำให้จุดซ่อนเร้นจะมีกลิ่นคาวเล็กน้อยตามธรรมชาติไม่ใช่เรื่องผิดปกติใดๆค่ะ แต่เนื่องจากสรีระบริเวณนี้ทำให้การรักษาความสะอาดอยู่ตลอดเวลาได้ยาก หากดูแลสุขอนามัยไม่ดีพอก็จะทำให้เกิดกลิ่นเหม็นได้ง่าย หรือถ้าหากคอยล้างทำความสะอาดอยู่บ่อยครั้งมากเกินไปก็ทำให้ช่องคลอดขาดความสมดุล เสี่ยงต่อการเป็นเชื้อรา ถ้าเป็นเชื้อราก็มีกลิ่นไม่พึงประสงค์อีก จัดเป็นอวัยวะที่บอบบางและต้องคอยเอาใจใส่มากเลยทีเดียวค่ะ

จุดซ่อนเร้นมีกลิ่นเกิดจากสาเหตุใด

  • แบคทีเรียที่ช่องคลอดขาดสมดุล โดยปกติในช่องคลอดจะมีแบคทีเรียประจำถิ่นซึ่งไม่ก่อโรคอาศัยอยู่มากมาย ให้ภายในช่องคลอดนั้นมีความสมดุล หากเกิดความผิดปกติใดๆ ที่ทำให้เหล่าแบคทีเรียเหล่านี้ลดจำนวนลง จะทำให้แบคทีเรียชนิดอื่นๆ เจริญเติบโตมากขึ้น เป็นสาเหตุทำให้เกิดกลิ่นไม่พึงประสงค์ ตกขาวมากผิดปกติ แสบคัน เป็นต้น ส่วนปัจจัยที่ทำให้สมดุลช่องคลอดเสียไปมีหลายสาเหตุ เช่น ใช้สบู่ที่เป็นเบสรุนแรง การกินยาฆ่าเชื้อพร่ำเพรื่อ การเปลี่ยนคู่นอนบ่อยๆ การตั้งครรภ์ การกินยาปรับฮอร์โมน  การสวนล้างช่องคลอด เป็นต้น
  • รักษาสุขอนามันทางเพศไม่ดีพอ เช่น ใส่กางเกงชั้นในซ้ำหรืออับชื้น ไม่เปลี่ยนผ้าอนามัยบ่อยๆ ไม่เช็ดทำความสะอาดหลังเข้าห้องน้ำ เป็นต้น
  • การติดเชื้อ การติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์บางโรคทำให้เซลล์เกิดการอักเสบและตายลง ทำให้เกิดกลิ่นได้ง่าย
  • ทานอาหารที่มีกลิ่นแรง อาหารบางชนิดทานแล้วจะมีกลิ่นกลิ่นออกมากับเหงื่อและปัสสาวะได้ หากปัสสาวะกลิ่นรุนแรงเมื่อล้างทำความสะอาดไม่ดีจะหมักหมมจนกลายเป็นกลิ่นเหม็นนั่นเอง อาหารทำให้ให้จุดซ่อนเร้นมีกลิ่นได้ เช่น อาหารทะเล อาหารหมักดอง เครื่องเทศ เป็นต้น
  • พฤติกรรมอื่นๆ เช่น การใส่กางเกงรัดรูป การทาแป้ง การใช้โลชั่น/น้ำหอมบริเวณอวัยวะเพศ การตากกางเกงชั้นในในที่อับชื้น เป็นต้น

วิธีดับกลิ่นจุดซ่อนเร้น

  • ล้างทำความสะอาด สิ่งสำคัญที่สุดคือการรักษาความสะอาด คุณต้องรักษาสุขอนามัยของจุดซ่อนเร้นอยู่เสมอ การล้างทำความสะอาดต้องทำอย่างถูกต้อง โดยปกติคนเรามักจะอาบน้ำวันละ 2 ครั้งคือเช้าและเย็นก่อนเข้านอน ในตอนเช้าแนะนำให้ล้างแค่น้ำเปล่าก็เพียงพอ ส่วนตอนเย็นควรล้างด้วยสบู่ด้วยเพราะว่าในระหว่างวันเราทำกิจกรรมมากมาย ทำให้ร่างกายมีเหงื่อไคลและกลิ่นอับชื้นค่ะ การล้างต้องล้างจากด้านหน้าไปด้านล่าง ถูบริเวณซอกพับเบาๆ จากนั้นค่อยล้างลงไปที่บริเวณช่องคลอดและทวาร และที่สำคัญห้ามล้วงลึกเข้าในช่องคลอดเด็ดขาด
  • เลือกสบู่ที่เหมาะสม บริเวณช่องคลอดมีคุณสมบัติเป็นกรดอ่อนๆ หากใช้สบู่ที่มีความเป็นเบสสูง จะทำลายให้แบคทีเรียชนิดดีในนั้น ทำให้ช่องคลอดเสียสมดุลในที่สุด ทำให้ระคายเคือง ง่ายต่อการติดเชื้อ ดังนั้นเลือกสบู่ชนิดที่อ่อนโยนต่อจุดซ่อนเร้น หากไม่รู้จะเลือกแบบไหนให้เลือกชนิดที่มีส่วนผสมจากธรรมชาติ ไม่มีสี ไม่มีน้ำหอม เช่น สบู่เด็ก เป็นต้น
  • ไม่สวนล้างจุดซ่อนเร้น การสวนล้างจุดซ่อนเร้นนั้นทำลายสมดุลธรรมชาติอย่างรุนแรง หากใครทำบ่อยๆ รับรองได้เลยว่าอนาคตต้องมีการติดเชื้อย่างแน่นอน
  • เช็ดจากหน้าไปหลัง หลังทำกิจธุระเสร็จเรียบร้อย หากใช้ทิชชู่ทำความสะอาดต้องเช็ดจากหน้าไปหลัง เพราะด้านล่างนั้นมีเชื้อโรคและสิ่งสกปรกสะสมอยู่มาก ถ้าเช็ดผิดทิศทางจะทำให้เชื้อโรคกระจายเข้าสู่ท่อปัสสาวะและช่องคลอดได้ง่ายค่ะ
  • ล้างมือให้สะอาด เพราะในระหว่างวันมือสัมผัสสิ่งสกปรกมามากมาย ดังนั้นต้องล้างมือให้สะอาดทุกครั้งก่อนทำความสะอาดจุดซ่อนเร้น
  • เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่อ่อนโยนกับจุดซ่อนเร้น ไม่ว่าจะผ้าอนามัย เจลหล่อลื่น ครีม โลชั่น หรือน้ำหอมใดๆ ก็ตาม เลือกแบบที่เป็นมิตรกับสภาพผิวบริเวณนั้น อย่างเจลหล่อลื่นให้เลือกแบบไม่ใช่สูตรซิลิโคนหรือมีกลิ่นหอมฉุนจนเกินไป ผลิตภัณฑ์ใดที่ไม่จำเป็นก็ไม่ควรใช้ หรือหากใช้แล้วรู้สึกคัน ระคายเคือง มีผดผื่นขึ้น ให้หยุดใช้และรีบไปพบสูตินารีแพทย์ทันที
  • เลือกใส่กางเกงชั้นในที่ทำจากผ้าฝ้าย กางเกงชั้นในเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่ต้องใส่ใจ ควรเลือกกางเกงชั้นมี่ผลิตมาจากเส้นใยธรรมชาติอย่างฝ้าย เพราะระบายอากาศได้ดี ลดความอับชื้นในระหว่างวัน
  • ไม่ใส่กางเกงชั้นในซ้ำ กางเกงชั้นในที่ใส่แล้วจะมีทั้งเหงื่อไคลและแบคทีเรีย ซึ่งจะเพิ่มจำนวนมากขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป หากใส่ซ้ำแบคทีเรียนั้นอาจจะเข้าสู่ช่องคลอดจนทำให้เสียสมดุลได้
  • รักษาความสะอาดของกางเกงชั้นในอยู่เสมอ ซักทำความสะอาดกางเกงชั้นในด้วยผงซักฟอกสูตรแอนตี้แบคทีเรีย จากนั้นนำไปตากในที่ที่อากาศถ่ายเทได้สะดวก ยิ่งมีแดดส่องแรงๆจะดีมาก เพราะจะช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรียได้ดี
  • เปลี่ยนกางเกงชั้นใน สำหรับใครที่มีปัญหากางเกงชั้นในมีกลิ่นอับชื้นมานานจนแก้ไขไม่ได้ แนะนำให้โละของเก่าทิ้งและซื้อใหม่หมดค่ะ สำหรับบางคนปัญหากลิ่นจุดซ่อนเร้นดีขึ้นแทบจะทันทีแค่เพราะเปลี่ยนกางเกงชั้นในเท่านั้นเอง ส่วนคนทั่วๆ ไปถึงแม้จะไม่พบปัญหากลิ่นอับชิ้นแต่ก็ควรเปลี่ยนใหม่บ่อยๆ เช่นกัน
  • ไม่ใส่กางเกงฟิตเกินไป เลือกเสื้อผ้าที่พอดีตัว ไม่รัดแน่นจนเกินไป เพราะจะระบายอากาศได้ไม่ดี บริเวณซอกชาและจุดซ่อนเร้นจะถูกกดทับ ทำให้เกิดการหมักหมมของเหงื่อไคลและสิ่งสกปรก อันเป็นต้นเหตุของกลิ่นอับไม่พึงประสงค์ได้
  • น้ำหอม ที่จริงแล้วการใช้น้ำหอมที่จุดซ่อนเร้นนั้นไม่ใช่เรื่องดีเท่าไร แต่ว่าการแตะน้ำหอมที่ต้นขาด้านใดเป็นวิธีที่ใช้กันมานานแล้วหากต้องการให้บริเวณนั้นหอมเย้ายวนไร้กลิ่นอับมากวนใจ แต่สิ่งสำคัญคือต้องป้ายน้ำหอมห่างจากอวัยวะเพศอย่างน้อย 6 นิ้วจะดีที่สุด ส่วนน้ำหอมกลิ่นดึงดูดความสนใจที่สุดคือ น้ำหอมกลิ่นธรรมชาติอย่างกลิ่นมัสก์หรือวานิลลาค่ะ
  • ลดอาหารหวานๆ การทานอาหารหวานมากๆจะทำให้น้ำตาลในเลือดพุ่งสูง ทำให้เชื้อยีสต์เจริญเติบโตได้ง่าย เพิ่มปริมาณมากขึ้น ทำให้เกิดกลิ่นและเกิดเชื้อราได้ง่ายขึ้น
  • หลีกเลี่ยงอาหารหมักดองและกลิ่นแรง ปฏิเสธไม่ได้ว่าอาหารมีส่วนสำคัญอย่างมากต่อการเกิดกลิ่นเหม็นที่จุดซ่อนเร้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาหารที่กลิ่นฉุนแรงและอาหารหมักดอง ดังนั้นถึงเวลาที่สาวๆต้องลดอาหารเหล่านี้ลงบ้างถ้าอยากให้น้องสาวไม่มีกลิ่นเหม็น ตัวอย่างอาหารที่ควรหลีกเลี่ยง เช่น ปลาร้า ปูดอง กะปิ ปลาเค็ม ผลไม้ดอง ปลาหมึกแห้ง อาหารทะเลอื่นๆ กระเทียม เครื่องเทศ เป็นต้น อ่านมาถึงตอนนี้คอส้มตำคงแอบร้องไห้ในใจกับอาหารสุดโปรด แต่เพื่อสุขภาพกลิ่นจุดซ่อนเร้น เชื่อว่าหลายๆ คนยอมได้แน่นอนค่า
  • รับประทานโยเกิร์ต หลายๆเสียงยืนยันว่าการทานโยเกิร์ตสามารถช่วยฟื้นฟูน้องสาวให้กลับมาสุขภาพดีขึ้น ดังนั้นแนะนำให้ทานทุกวัน นอกจากชะช่วยลดกลิ่นเหม็นของจุดซ่อนเร้นแล้ว ยังช่วยป้องกันโรคท้องผูก ช่วยให้ระบบขับถ่ายดีขึ้น อย่างไรก็ตามโยเกิร์ตส่วนใหญ่มีน้ำตาลอยู่สูงมาก ควรระมัดระวังไม่ทานมากเกินไป ถ้าจะให้ดีที่สุดคือเลือกสูตรที่ไม่เติมน้ำตาลค่ะ
  • สัปปะรด ลองทานสัปปะรดบ่อยๆ ค่ะ ถึงแม้ยังไม่มีงานวิจัยรับรองชัดเจน แต่หลายคนยืนยันว่าการทานสัปปะรดช่วยให้กลิ่นบริเวณนั้นดีขึ้นทั้งของสาวๆ และท่านชาย
  • หยุดทาแป้ง บางคนอาจจะคิดว่าการทาแป้งช่วยลดความอับชื้นและลดกลิ่นอับได้ แต่จริงๆแล้วไม่ใช่นะคะ เพราะแป้งนั้นจะดูดความชื้นได้ดี เมื่อรวมกับเหงื่อและขี้ไคลจึงทำให้บริเวณซอกพับที่ทาแป้งนั้นมีสิ่งสกปรกมาสะสมมากกว่าเดิม ไม่อยากให้จุดซ่อนเร้นมีกลิ่นต้องหยุดทาแป้ง ไม่เสี่ยงเป็นมะเร็งรังไข่จากสารทัลคัมด้วยค่ะ
  • ตัดเล็มขนอยู่เสมอ ถึงแม้ขนจะช่วยกักเก็บกลิ่นไว้ได้ แต่ขนเป็นแหล่งสะสมเชื้อโรคชั้นดีหากใส่ใจในเรื่องความสะอาดไม่พอ หมั่นเล็มคนให้สั้นอยู่เสมอเพื่อให้ทำความสะอาดได้ง่าย บางคนอาจจะคิดว่างั้นก็โกนไปเลยน่าจะทำความสะอาดง่ายกว่าไหม? ง่ายกว่าค่ะแต่ว่าการโกนขนนั้นอาจทำให้ผิวหนังมีรอยถลอกและติดเชื้อได้ง่าย น้องสาวเสียดสีกับผ้าโดยตรงทำให้ผิวหนังบริเวณนั้นคล้ำ อีกทั้งตอขนที่เพิ่งขึ้นใหม่ทำให้ระคายเคืองและไม่สบายตัวได้ค่ะ
  • พกทิชชูเปียกเมื่อใช้ห้องน้ำสาธารณะ เวลาไปเข้าห้องน้ำด้านนอกอย่าลืมพกทิชชู่เปียกไปด้วย เพราะว่าจะทำความสะอาดได้ดีกว่าทิชชู่ธรรมดา เวลาเช็ดให้เช็ดจากหน้าไปหลัง ไม่เช็ดล้วงลึกเข้าไปด้านใน เลือกทิชชู่ชนิดที่ไม่มีสีและน้ำหอม หรือจะเป็นรุ่นที่ใช้กับผิวเด็กก็ได้ค่ะ
  • เปลี่ยนผ้าอนามัยบ่อยๆ เวลาเป็นประจำเดือนจะเกิดกลิ่นไม่พึงประสงค์ได้ง่ายมากๆ ดังนั้นต้องเปลี่ยนผ้าอนามัยบ่อยๆ ช่วยลดการเกิดกลิ่นเหม็นและความอับชื้น ผ้าอนามัยชนิดแผ่นต้องเปลี่ยนทุกๆ  2-4 ชั่วโมง แต่ถ้าเป็นผ้าอนามัยแบบสอดควรเปลี่ยนเร็วกว่านั้น เพราะสุ่มเสี่ยงต่อการติดเชื้อหากใส่นานไป ถ้าใครไม่อยากเผชิญทั้งกลิ่นและความอับชื้น แนะนำให้ใช้ถ้วยอนามัยค่ะ
  • ใช้แผ่นอยามัยแค่ยามจำเป็น บางคนที่ตกขาวบ่อยๆมักจะใช้แผ่นอนามัยตลอดเพราะคิดว่ามันช่วยให้ไม่มีกลิ่นและอับชื้นน้อยลง แต่ว่าจริงๆแล้วมันจะทำให้อากาศถ่ายเทไม่สะดวก เชื้อโรคและแบคทีเรียจะเจริญเติบโตได้ดี จึงทำให้เกิดกลิ่นเหม็นได้ง่ายกว่าเดิม อีกทั้งยังทำให้เกิดเชื้อราในช่องคลอดได้ง่ายขึ้นด้วย
  • ไม่ทานยาฆ่าเชื้อพร่ำเพรื่อ การกินยาฆ่าเชื้อพร่ำเพรื่อหรือกินโดยไม่จำเป็นจะทำลายสมดุลในช่องคลอด เนื่องจากยาจะไปทำลายแบคทีเรียชนิดดีที่อยู่ในนั้น เปิดโอกาสให้เชื้อราเจริญเติบโตและลุกลามได้ง่าย เมื่อเป็นเชื้อราจะคัน ตกขาวมีกลิ่นเหม็น ซึ่งเหล่าสาวๆ คงไม่ชอบแน่นอน
  • ไม่อาบน้ำอุ่นบ่อยหรือแช่น้ำอุ่นนานๆ การอาบน้ำอุ่นบ่อยหรืออาบน้ำอุ่นจัดเกินไปจะทำให้แบคทีเรียที่มีตามธรรมชาติลดจำนวนลง ทำให้สมดุลที่มีเสียไป ดังนั้นอาบน้ำเย็นจะดีกว่า ช่วยให้รู้สึกสดชื่นและไม่ทำให้ผิวแห้งด้วยค่ะ
  • ระมัดระวังเกี่ยวกับกิจกรรมทางเพศ กิจกรรมทางเพศบางเรื่องอาจทำให้เกิดกลิ่นไม่พึ่งประสงค์ที่จุดซ่อนเร้นได้ การใช้อุปกรณ์เสริมที่ไม่รักษาความสะอาด การมีเพศสัมพันธ์ทางด้านหลังแล้วมาต่อด้วยด้านหน้าโดยที่ยังไม่ได้ล้างทำความสะอาด เป็นต้น และในบางครั้งการที่จุดซ่อนเร้นของสาวๆ มีกลิ่นเหม็นนั้นไม่ใช่เพราะตัวเอง แต่เป็นเพราะคุณผู้ชายไม่ใส่ใจเรื่องความสะอาด ดังนั้นควรรักษาความสะอาดกันทั้งสองคนจะดีที่สุดค่ะ
  • พบสูตินารีแพทย์  ใครที่มีอาการผิดปกติ เช่น ฉี่แสบขัด คัน ตกขาวมีสีเปลี่ยนไปและมีกลิ่นเหม็น แนะนำให้รีบไปพบแพทย์ดีกว่าไปซื้อยามาใช้เอง เพราะคุณอาจจะกำลังเป็นเชื้อรา การรักษาด้วยตัวเองแบบผิดวิธี อาจทำให้โรคลุกลามมากกว่าเดิม ส่วนใครที่มีคู่แล้ว ควรพาไปด้วยกัน เพราะสาเหตุของเชื้อราอาจจะมาจากท่านชายก็ได้ ถ้าเป็นกรณีนี้ถึงสาวๆ จะรักษาหายแล้ว ถ้ากลับไปมีเพศสัมพันธ์กับคุณแฟนอีก โรคก็จะกลับมาเป็นอีกค่ะ ส่วนใครที่สุขภาพจุดซ่อนเร้นปกติดี ก็ควรหมั่นไปพบแพทย์อยู่เสมอเพื่อตรวจเช็คสุขภาพภายใน การตรวจภายในไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด สามารถตรวจได้หลายโรค เช่น เชื้อรา หูด HPV โรคมะเร็งปากมดลูก เป็นต้น หากมีอะไรผิดปกติแล้วตรวจเจอเร็ว จะได้รักษาได้อย่างทันท่วงทีค่ะ

ใครที่กำลังประสบปัญหานี้ลองสำรวจตัวเองว่าที่จุดซ่อนเร้นมีกลิ่นมีสาเหตุมาจากอะไร จากนั้นรักษาให้ตรงจุด หากไม่ได้ผลควรไปพบแพทย์ อย่ากลัว อย่าอาย อย่าปกปิด เพราะปัญหานี้สามารถแก้ไขได้ถ้าได้รับการรักษาอย่างถูกต้องค่ะ


25 วิธีดับกลิ่นจุดซ่อนเร้น จะกลิ่นแรงแค่ไหน ก็รักษาได้อยู่หมัด

จุดซ่อนเร้นก็สำคัญกับสาวๆ ไม่แพ้ใบหน้า เพราะมีความบอบบาง แพ้ง่าย ต้องใส่ใจดูแลเป็นพิเศษ ถ้าจุดซ่อนเร้นมีกลิ่น จะถือเป็นเรื่องที่น่าอายสำหรับสาวๆ อย่างมาก เพราะบางคนกลิ่นแรงจนคนรอบข้างได้กลิ่น ทำให้หมดความมั่นใจในการใช้ชีวิตไปเลย มาดูกันว่ากลิ่นจากจุดซ่อนเร้นนี้เกิดจากสาเหตุใดและสามารถแก้ไข กำจัดกลิ่นจุดซ่อนเร้นได้ด้วยวิธีใดบ้าง

กลิ่นจากจุดซ่อนเร้น

บริเวณจุดซ่อนเร้นหรือช่องคลอดจะมีลักษณะเป็นเนื้อเยื่อเมือก ซึ่งจะมีสารคัดหลั่งหลั่งออกมาเพื่อเคลือบเนื้อเยื่อเหล่านี้ให้ชุ่มชื่นอยู่เสมอ ทำให้จุดซ่อนเร้นจะมีกลิ่นคาวเล็กน้อยตามธรรมชาติไม่ใช่เรื่องผิดปกติใดๆค่ะ แต่เนื่องจากสรีระบริเวณนี้ทำให้การรักษาความสะอาดอยู่ตลอดเวลาได้ยาก หากดูแลสุขอนามัยไม่ดีพอก็จะทำให้เกิดกลิ่นเหม็นได้ง่าย หรือถ้าหากคอยล้างทำความสะอาดอยู่บ่อยครั้งมากเกินไปก็ทำให้ช่องคลอดขาดความสมดุล เสี่ยงต่อการเป็นเชื้อรา ถ้าเป็นเชื้อราก็มีกลิ่นไม่พึงประสงค์อีก จัดเป็นอวัยวะที่บอบบางและต้องคอยเอาใจใส่มากเลยทีเดียวค่ะ

จุดซ่อนเร้นมีกลิ่นเกิดจากสาเหตุใด

  • แบคทีเรียที่ช่องคลอดขาดสมดุล โดยปกติในช่องคลอดจะมีแบคทีเรียประจำถิ่นซึ่งไม่ก่อโรคอาศัยอยู่มากมาย ให้ภายในช่องคลอดนั้นมีความสมดุล หากเกิดความผิดปกติใดๆ ที่ทำให้เหล่าแบคทีเรียเหล่านี้ลดจำนวนลง จะทำให้แบคทีเรียชนิดอื่นๆ เจริญเติบโตมากขึ้น เป็นสาเหตุทำให้เกิดกลิ่นไม่พึงประสงค์ ตกขาวมากผิดปกติ แสบคัน เป็นต้น ส่วนปัจจัยที่ทำให้สมดุลช่องคลอดเสียไปมีหลายสาเหตุ เช่น ใช้สบู่ที่เป็นเบสรุนแรง การกินยาฆ่าเชื้อพร่ำเพรื่อ การเปลี่ยนคู่นอนบ่อยๆ การตั้งครรภ์ การกินยาปรับฮอร์โมน  การสวนล้างช่องคลอด เป็นต้น
  • รักษาสุขอนามันทางเพศไม่ดีพอ เช่น ใส่กางเกงชั้นในซ้ำหรืออับชื้น ไม่เปลี่ยนผ้าอนามัยบ่อยๆ ไม่เช็ดทำความสะอาดหลังเข้าห้องน้ำ เป็นต้น
  • การติดเชื้อ การติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์บางโรคทำให้เซลล์เกิดการอักเสบและตายลง ทำให้เกิดกลิ่นได้ง่าย
  • ทานอาหารที่มีกลิ่นแรง อาหารบางชนิดทานแล้วจะมีกลิ่นกลิ่นออกมากับเหงื่อและปัสสาวะได้ หากปัสสาวะกลิ่นรุนแรงเมื่อล้างทำความสะอาดไม่ดีจะหมักหมมจนกลายเป็นกลิ่นเหม็นนั่นเอง อาหารทำให้ให้จุดซ่อนเร้นมีกลิ่นได้ เช่น อาหารทะเล อาหารหมักดอง เครื่องเทศ เป็นต้น
  • พฤติกรรมอื่นๆ เช่น การใส่กางเกงรัดรูป การทาแป้ง การใช้โลชั่น/น้ำหอมบริเวณอวัยวะเพศ การตากกางเกงชั้นในในที่อับชื้น เป็นต้น

วิธีดับกลิ่นจุดซ่อนเร้น

  • ล้างทำความสะอาด สิ่งสำคัญที่สุดคือการรักษาความสะอาด คุณต้องรักษาสุขอนามัยของจุดซ่อนเร้นอยู่เสมอ การล้างทำความสะอาดต้องทำอย่างถูกต้อง โดยปกติคนเรามักจะอาบน้ำวันละ 2 ครั้งคือเช้าและเย็นก่อนเข้านอน ในตอนเช้าแนะนำให้ล้างแค่น้ำเปล่าก็เพียงพอ ส่วนตอนเย็นควรล้างด้วยสบู่ด้วยเพราะว่าในระหว่างวันเราทำกิจกรรมมากมาย ทำให้ร่างกายมีเหงื่อไคลและกลิ่นอับชื้นค่ะ การล้างต้องล้างจากด้านหน้าไปด้านล่าง ถูบริเวณซอกพับเบาๆ จากนั้นค่อยล้างลงไปที่บริเวณช่องคลอดและทวาร และที่สำคัญห้ามล้วงลึกเข้าในช่องคลอดเด็ดขาด
  • เลือกสบู่ที่เหมาะสม บริเวณช่องคลอดมีคุณสมบัติเป็นกรดอ่อนๆ หากใช้สบู่ที่มีความเป็นเบสสูง จะทำลายให้แบคทีเรียชนิดดีในนั้น ทำให้ช่องคลอดเสียสมดุลในที่สุด ทำให้ระคายเคือง ง่ายต่อการติดเชื้อ ดังนั้นเลือกสบู่ชนิดที่อ่อนโยนต่อจุดซ่อนเร้น หากไม่รู้จะเลือกแบบไหนให้เลือกชนิดที่มีส่วนผสมจากธรรมชาติ ไม่มีสี ไม่มีน้ำหอม เช่น สบู่เด็ก เป็นต้น
  • ไม่สวนล้างจุดซ่อนเร้น การสวนล้างจุดซ่อนเร้นนั้นทำลายสมดุลธรรมชาติอย่างรุนแรง หากใครทำบ่อยๆ รับรองได้เลยว่าอนาคตต้องมีการติดเชื้อย่างแน่นอน
  • เช็ดจากหน้าไปหลัง หลังทำกิจธุระเสร็จเรียบร้อย หากใช้ทิชชู่ทำความสะอาดต้องเช็ดจากหน้าไปหลัง เพราะด้านล่างนั้นมีเชื้อโรคและสิ่งสกปรกสะสมอยู่มาก ถ้าเช็ดผิดทิศทางจะทำให้เชื้อโรคกระจายเข้าสู่ท่อปัสสาวะและช่องคลอดได้ง่ายค่ะ
  • ล้างมือให้สะอาด เพราะในระหว่างวันมือสัมผัสสิ่งสกปรกมามากมาย ดังนั้นต้องล้างมือให้สะอาดทุกครั้งก่อนทำความสะอาดจุดซ่อนเร้น
  • เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่อ่อนโยนกับจุดซ่อนเร้น ไม่ว่าจะผ้าอนามัย เจลหล่อลื่น ครีม โลชั่น หรือน้ำหอมใดๆ ก็ตาม เลือกแบบที่เป็นมิตรกับสภาพผิวบริเวณนั้น อย่างเจลหล่อลื่นให้เลือกแบบไม่ใช่สูตรซิลิโคนหรือมีกลิ่นหอมฉุนจนเกินไป ผลิตภัณฑ์ใดที่ไม่จำเป็นก็ไม่ควรใช้ หรือหากใช้แล้วรู้สึกคัน ระคายเคือง มีผดผื่นขึ้น ให้หยุดใช้และรีบไปพบสูตินารีแพทย์ทันที
  • เลือกใส่กางเกงชั้นในที่ทำจากผ้าฝ้าย กางเกงชั้นในเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่ต้องใส่ใจ ควรเลือกกางเกงชั้นมี่ผลิตมาจากเส้นใยธรรมชาติอย่างฝ้าย เพราะระบายอากาศได้ดี ลดความอับชื้นในระหว่างวัน
  • ไม่ใส่กางเกงชั้นในซ้ำ กางเกงชั้นในที่ใส่แล้วจะมีทั้งเหงื่อไคลและแบคทีเรีย ซึ่งจะเพิ่มจำนวนมากขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป หากใส่ซ้ำแบคทีเรียนั้นอาจจะเข้าสู่ช่องคลอดจนทำให้เสียสมดุลได้
  • รักษาความสะอาดของกางเกงชั้นในอยู่เสมอ ซักทำความสะอาดกางเกงชั้นในด้วยผงซักฟอกสูตรแอนตี้แบคทีเรีย จากนั้นนำไปตากในที่ที่อากาศถ่ายเทได้สะดวก ยิ่งมีแดดส่องแรงๆจะดีมาก เพราะจะช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรียได้ดี
  • เปลี่ยนกางเกงชั้นใน สำหรับใครที่มีปัญหากางเกงชั้นในมีกลิ่นอับชื้นมานานจนแก้ไขไม่ได้ แนะนำให้โละของเก่าทิ้งและซื้อใหม่หมดค่ะ สำหรับบางคนปัญหากลิ่นจุดซ่อนเร้นดีขึ้นแทบจะทันทีแค่เพราะเปลี่ยนกางเกงชั้นในเท่านั้นเอง ส่วนคนทั่วๆ ไปถึงแม้จะไม่พบปัญหากลิ่นอับชิ้นแต่ก็ควรเปลี่ยนใหม่บ่อยๆ เช่นกัน
  • ไม่ใส่กางเกงฟิตเกินไป เลือกเสื้อผ้าที่พอดีตัว ไม่รัดแน่นจนเกินไป เพราะจะระบายอากาศได้ไม่ดี บริเวณซอกชาและจุดซ่อนเร้นจะถูกกดทับ ทำให้เกิดการหมักหมมของเหงื่อไคลและสิ่งสกปรก อันเป็นต้นเหตุของกลิ่นอับไม่พึงประสงค์ได้
  • น้ำหอม ที่จริงแล้วการใช้น้ำหอมที่จุดซ่อนเร้นนั้นไม่ใช่เรื่องดีเท่าไร แต่ว่าการแตะน้ำหอมที่ต้นขาด้านใดเป็นวิธีที่ใช้กันมานานแล้วหากต้องการให้บริเวณนั้นหอมเย้ายวนไร้กลิ่นอับมากวนใจ แต่สิ่งสำคัญคือต้องป้ายน้ำหอมห่างจากอวัยวะเพศอย่างน้อย 6 นิ้วจะดีที่สุด ส่วนน้ำหอมกลิ่นดึงดูดความสนใจที่สุดคือ น้ำหอมกลิ่นธรรมชาติอย่างกลิ่นมัสก์หรือวานิลลาค่ะ
  • ลดอาหารหวานๆ การทานอาหารหวานมากๆจะทำให้น้ำตาลในเลือดพุ่งสูง ทำให้เชื้อยีสต์เจริญเติบโตได้ง่าย เพิ่มปริมาณมากขึ้น ทำให้เกิดกลิ่นและเกิดเชื้อราได้ง่ายขึ้น
  • หลีกเลี่ยงอาหารหมักดองและกลิ่นแรง ปฏิเสธไม่ได้ว่าอาหารมีส่วนสำคัญอย่างมากต่อการเกิดกลิ่นเหม็นที่จุดซ่อนเร้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาหารที่กลิ่นฉุนแรงและอาหารหมักดอง ดังนั้นถึงเวลาที่สาวๆต้องลดอาหารเหล่านี้ลงบ้างถ้าอยากให้น้องสาวไม่มีกลิ่นเหม็น ตัวอย่างอาหารที่ควรหลีกเลี่ยง เช่น ปลาร้า ปูดอง กะปิ ปลาเค็ม ผลไม้ดอง ปลาหมึกแห้ง อาหารทะเลอื่นๆ กระเทียม เครื่องเทศ เป็นต้น อ่านมาถึงตอนนี้คอส้มตำคงแอบร้องไห้ในใจกับอาหารสุดโปรด แต่เพื่อสุขภาพกลิ่นจุดซ่อนเร้น เชื่อว่าหลายๆ คนยอมได้แน่นอนค่า
  • รับประทานโยเกิร์ต หลายๆเสียงยืนยันว่าการทานโยเกิร์ตสามารถช่วยฟื้นฟูน้องสาวให้กลับมาสุขภาพดีขึ้น ดังนั้นแนะนำให้ทานทุกวัน นอกจากชะช่วยลดกลิ่นเหม็นของจุดซ่อนเร้นแล้ว ยังช่วยป้องกันโรคท้องผูก ช่วยให้ระบบขับถ่ายดีขึ้น อย่างไรก็ตามโยเกิร์ตส่วนใหญ่มีน้ำตาลอยู่สูงมาก ควรระมัดระวังไม่ทานมากเกินไป ถ้าจะให้ดีที่สุดคือเลือกสูตรที่ไม่เติมน้ำตาลค่ะ
  • สัปปะรด ลองทานสัปปะรดบ่อยๆ ค่ะ ถึงแม้ยังไม่มีงานวิจัยรับรองชัดเจน แต่หลายคนยืนยันว่าการทานสัปปะรดช่วยให้กลิ่นบริเวณนั้นดีขึ้นทั้งของสาวๆ และท่านชาย
  • หยุดทาแป้ง บางคนอาจจะคิดว่าการทาแป้งช่วยลดความอับชื้นและลดกลิ่นอับได้ แต่จริงๆแล้วไม่ใช่นะคะ เพราะแป้งนั้นจะดูดความชื้นได้ดี เมื่อรวมกับเหงื่อและขี้ไคลจึงทำให้บริเวณซอกพับที่ทาแป้งนั้นมีสิ่งสกปรกมาสะสมมากกว่าเดิม ไม่อยากให้จุดซ่อนเร้นมีกลิ่นต้องหยุดทาแป้ง ไม่เสี่ยงเป็นมะเร็งรังไข่จากสารทัลคัมด้วยค่ะ
  • ตัดเล็มขนอยู่เสมอ ถึงแม้ขนจะช่วยกักเก็บกลิ่นไว้ได้ แต่ขนเป็นแหล่งสะสมเชื้อโรคชั้นดีหากใส่ใจในเรื่องความสะอาดไม่พอ หมั่นเล็มคนให้สั้นอยู่เสมอเพื่อให้ทำความสะอาดได้ง่าย บางคนอาจจะคิดว่างั้นก็โกนไปเลยน่าจะทำความสะอาดง่ายกว่าไหม? ง่ายกว่าค่ะแต่ว่าการโกนขนนั้นอาจทำให้ผิวหนังมีรอยถลอกและติดเชื้อได้ง่าย น้องสาวเสียดสีกับผ้าโดยตรงทำให้ผิวหนังบริเวณนั้นคล้ำ อีกทั้งตอขนที่เพิ่งขึ้นใหม่ทำให้ระคายเคืองและไม่สบายตัวได้ค่ะ
  • พกทิชชูเปียกเมื่อใช้ห้องน้ำสาธารณะ เวลาไปเข้าห้องน้ำด้านนอกอย่าลืมพกทิชชู่เปียกไปด้วย เพราะว่าจะทำความสะอาดได้ดีกว่าทิชชู่ธรรมดา เวลาเช็ดให้เช็ดจากหน้าไปหลัง ไม่เช็ดล้วงลึกเข้าไปด้านใน เลือกทิชชู่ชนิดที่ไม่มีสีและน้ำหอม หรือจะเป็นรุ่นที่ใช้กับผิวเด็กก็ได้ค่ะ
  • เปลี่ยนผ้าอนามัยบ่อยๆ เวลาเป็นประจำเดือนจะเกิดกลิ่นไม่พึงประสงค์ได้ง่ายมากๆ ดังนั้นต้องเปลี่ยนผ้าอนามัยบ่อยๆ ช่วยลดการเกิดกลิ่นเหม็นและความอับชื้น ผ้าอนามัยชนิดแผ่นต้องเปลี่ยนทุกๆ  2-4 ชั่วโมง แต่ถ้าเป็นผ้าอนามัยแบบสอดควรเปลี่ยนเร็วกว่านั้น เพราะสุ่มเสี่ยงต่อการติดเชื้อหากใส่นานไป ถ้าใครไม่อยากเผชิญทั้งกลิ่นและความอับชื้น แนะนำให้ใช้ถ้วยอนามัยค่ะ
  • ใช้แผ่นอยามัยแค่ยามจำเป็น บางคนที่ตกขาวบ่อยๆมักจะใช้แผ่นอนามัยตลอดเพราะคิดว่ามันช่วยให้ไม่มีกลิ่นและอับชื้นน้อยลง แต่ว่าจริงๆแล้วมันจะทำให้อากาศถ่ายเทไม่สะดวก เชื้อโรคและแบคทีเรียจะเจริญเติบโตได้ดี จึงทำให้เกิดกลิ่นเหม็นได้ง่ายกว่าเดิม อีกทั้งยังทำให้เกิดเชื้อราในช่องคลอดได้ง่ายขึ้นด้วย
  • ไม่ทานยาฆ่าเชื้อพร่ำเพรื่อ การกินยาฆ่าเชื้อพร่ำเพรื่อหรือกินโดยไม่จำเป็นจะทำลายสมดุลในช่องคลอด เนื่องจากยาจะไปทำลายแบคทีเรียชนิดดีที่อยู่ในนั้น เปิดโอกาสให้เชื้อราเจริญเติบโตและลุกลามได้ง่าย เมื่อเป็นเชื้อราจะคัน ตกขาวมีกลิ่นเหม็น ซึ่งเหล่าสาวๆ คงไม่ชอบแน่นอน
  • ไม่อาบน้ำอุ่นบ่อยหรือแช่น้ำอุ่นนานๆ การอาบน้ำอุ่นบ่อยหรืออาบน้ำอุ่นจัดเกินไปจะทำให้แบคทีเรียที่มีตามธรรมชาติลดจำนวนลง ทำให้สมดุลที่มีเสียไป ดังนั้นอาบน้ำเย็นจะดีกว่า ช่วยให้รู้สึกสดชื่นและไม่ทำให้ผิวแห้งด้วยค่ะ
  • ระมัดระวังเกี่ยวกับกิจกรรมทางเพศ กิจกรรมทางเพศบางเรื่องอาจทำให้เกิดกลิ่นไม่พึ่งประสงค์ที่จุดซ่อนเร้นได้ การใช้อุปกรณ์เสริมที่ไม่รักษาความสะอาด การมีเพศสัมพันธ์ทางด้านหลังแล้วมาต่อด้วยด้านหน้าโดยที่ยังไม่ได้ล้างทำความสะอาด เป็นต้น และในบางครั้งการที่จุดซ่อนเร้นของสาวๆ มีกลิ่นเหม็นนั้นไม่ใช่เพราะตัวเอง แต่เป็นเพราะคุณผู้ชายไม่ใส่ใจเรื่องความสะอาด ดังนั้นควรรักษาความสะอาดกันทั้งสองคนจะดีที่สุดค่ะ
  • พบสูตินารีแพทย์  ใครที่มีอาการผิดปกติ เช่น ฉี่แสบขัด คัน ตกขาวมีสีเปลี่ยนไปและมีกลิ่นเหม็น แนะนำให้รีบไปพบแพทย์ดีกว่าไปซื้อยามาใช้เอง เพราะคุณอาจจะกำลังเป็นเชื้อรา การรักษาด้วยตัวเองแบบผิดวิธี อาจทำให้โรคลุกลามมากกว่าเดิม ส่วนใครที่มีคู่แล้ว ควรพาไปด้วยกัน เพราะสาเหตุของเชื้อราอาจจะมาจากท่านชายก็ได้ ถ้าเป็นกรณีนี้ถึงสาวๆ จะรักษาหายแล้ว ถ้ากลับไปมีเพศสัมพันธ์กับคุณแฟนอีก โรคก็จะกลับมาเป็นอีกค่ะ ส่วนใครที่สุขภาพจุดซ่อนเร้นปกติดี ก็ควรหมั่นไปพบแพทย์อยู่เสมอเพื่อตรวจเช็คสุขภาพภายใน การตรวจภายในไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด สามารถตรวจได้หลายโรค เช่น เชื้อรา หูด HPV โรคมะเร็งปากมดลูก เป็นต้น หากมีอะไรผิดปกติแล้วตรวจเจอเร็ว จะได้รักษาได้อย่างทันท่วงทีค่ะ

ใครที่กำลังประสบปัญหานี้ลองสำรวจตัวเองว่าที่จุดซ่อนเร้นมีกลิ่นมีสาเหตุมาจากอะไร จากนั้นรักษาให้ตรงจุด หากไม่ได้ผลควรไปพบแพทย์ อย่ากลัว อย่าอาย อย่าปกปิด เพราะปัญหานี้สามารถแก้ไขได้ถ้าได้รับการรักษาอย่างถูกต้องค่ะ


รวมเคล็ดลับ "วิธีดับกลิ่นคาว" หมดกังวลเรื่องกลิ่นคาวแบบถาวร!!

อีกหนึ่งปัญหาที่เหล่าแม่บ้านมักจะพบเจอกันอยู่เสมอก็คือ "กลิ่นคาว" นั่นเอง ไม่ว่าจะกลิ่นคาวของเนื้อสัตว์ กลิ่นคาวติดมือหรือกลิ่นคาวตามห้องครัวหลังจากประกอบอาหารเสร็จ ล้วนแล้วแต่น่าเบื่อมากมาย ได้กลิ่นทีไรต้องย่นจมูกกันทุกทีไป สำหรับวันนี้เราได้รวบรวมสารพัดวิธีกำจัดกลิ่นคาวมาฝากกัน ไม่ว่าจะคาวมากคาวมากคาวน้อยแค่ไหน มั่นใจได้เลยว่ากำจัดได้อย่างหมดจดเลยทีเดียวค่ะ

ดับกลิ่นคาวปลาหรืออาหารทะเล

  • มะนาว ผสมน้ำมะนาวลงในน้ำเปล่า แล้วนำมาล้างปลาหรืออาหารทะเลอื่นๆ ไม่ว่ากุ้งหรือหมึก รับรองกลิ่นคาวหายเกลี้ยง แถมยังช่วยให้ปลาหมึกมีเนื้อขาวน่ารับประทานขึ้นด้วยค่ะ
  • น้ำส้มสายชู เทน้ำส้มสายชูในน้ำเปล่า จากนั้นนำมาแช่ปลา กุ้งหรือหมึก แช่ทิ้งไว้ประมาณ 10  นาทีแล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาดอีกที ไม่มีกลิ่นคาวหลงเหลืออยู่อีกแน่นอน
  • น้ำนม นำอาหารที่ต้องการกำจัดกลิ่นคาวแช่ลงไปในน้ำนมเลย ช่วยดับกลิ่นคาว นำให้เนื้อนุ่มมากขึ้น วิธีนี้เหมาะที่จะใช้กับเนื้อปลา เนื้อสัตว์อื่นๆรวมไปถึงตับสัตว์ด้วยค่ะ
  • เกลือ ผสมเกลือกับน้ำอุ่นให้เค็มพอสมควร แล้วแช่ปลาหรืออาหารที่ต้องการ ความเค็มจะช่วยยับยั้งกลไกการเกิดกลิ่นที่มีที่มาจากแบคทีเรียได้ แต่ว่าอาจจะทำให้รสชาติของเนื้อสัตว์ชนิดนั้นๆเปลี่ยนไปเล็กน้อย หากอยากได้รสชาติเดิม ให้ล้างน้ำเกลือแบบเร็วๆแล้วล้างด้วยน้ำเปล่าอีกรอบค่ะ
  • ขิง นำขิงมาบดให้ละเอียด (สามารถตากให้แห้งแล้วบดเป็นผงเก็บไว้ใช้ได้) จากนั้นนำมาหมักปลาหรือเนื้อสัตว์อื่นให้ทั่ว หมักทิ้งไว้ประมาณครึ่งชั่วโมงแล้วค่อยล้างออก กลิ่นคาวหายหมดกังวลได้เลย
  • กำจัดจุดที่คาวง่ายที่สุด กรณีนี้สำหรับปลาเพียงอย่างเดียวเท่านั้น เนื่องจากเหงือก ไส้และเกล็ดของเป็นแหล่งที่เกิดกลิ่นได้ง่าย การลดกลิ่นที่ง่ายที่สุดคือ ควักเหงือก ล้วงไส้และขอดเกล็ดปลาออกค่ะ
  • เครื่องเทศ หลังจากกำจัดกลิ่นคาวในขั้นตอนการล้างทำความสะอาดมาแล้ว ในขณะปรุงอาหารก็สามารถได้ดับกลิ่นคาวได้เหมือนกันโดยการใช้เครื่องเทศในการปรุง มีเครื่องเทศหลายชนิดที่ดับกลิ่นคาวได้เป็นอย่างดี เช่น กะเพรา ขิง ข่า ตะไคร้ ใบมะกรูด เม็ดยี่หร่า ใบยี่หร่า กระเทียม เป็นต้น
  • ทอด ไม่ว่าจะเป็นปลาหรือเนื้อสัตว์ชนิดใด ถ้าล้างแล้วกลิ่นยังอยู่ การปรุงอาหารโดยวิธีการทอดจะเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการดับกลิ่น เนื่องจากการทอดเป็นการปรุงที่ใช้ความร้อนสูง ช่วยฆ่าเชื้อโรคและกำจัดต้นตอการเกิดกลิ่นได้เป็นอย่างดี
  • ดับกลิ่นคาวที่ติดมือ

    หลังจากประกอบอาหารเสร็จ แม่บ้านหลายท่านคงเคยประสบกับปัญหากลิ่นคาวติดมือ ซึ่งก็ล้างได้ยากเย็นเหลือเกิน ที่เป็นอย่างนั้นก็เพราะว่าปลาหรือเนื้อสัตว์บางชนิดมีไขมันและโปรตีนเป็นส่วนประกอบ พอมาล้างด้วยน้ำเปล่าหรือน้ำสบู่ บางทีอาจจะไม่สามารถล้างออกได้หมด จึงเป็นที่มาของกลิ่นติดมือนั่นเอง แต่ว่าปัญหากลิ่นคาวติดมือ สามารถแก้ได้ง่ายด้วยวิธีการเหล่านี้ค่ะ

    • มะนาว บีบน้ำมะนาวลงไปผสมน้ำอุ่นจัด แล้วนำมาล้างมือ ขัดถูสักครู่แล้วค่อยล้างออกด้วยน้ำสะอาด กรดกับความร้อนของน้ำจะช่วยทำให้ไขมันละโปรตีนละลายและชะล้างออกไปง่ายขึ้น แต่หลังล้างมือแล้วอย่าลืมบำรุงผิวด้วย เพราะกรดอาจจะกัดผิวจนแสบได้
    • น้ำยาล้างจาน โดยปกติน้ำยาล้างจานถูกออกแบบมาเพื่อขจัดคราบไขมันและอาหารต่างๆที่ติดภาชนะอยู่แล้ว จึงสามารถล้างคราบมันและกลิ่นคาวได้ดีกว่าสบู่ ดังนั้นแนะนำให้เอามาล้างมือสะเลยค่ะ
    • น้ำชา น้ำชาชงอุ่นนำมาล้างมือได้ เพราะมีคุณสมบัติช่วยดับกลิ่นเหม็น กลิ่นคาวต่างๆ แต่ว่าหลังล้างมือเสร็จอาจจะได้กลิ่นชาแทน แต่ว่าก็คงหอมมากกว่ากลิ่นคาวแน่ๆ ละงานนี้
    • ยาสีฟัน ผสมยาสีฟันกับน้ำเปล่าแล้วนำมาล้างมือ กลิ่นยาสีฟันที่หอมสดชื่น จะช่วยลดกลิ่นคาวได้

    ดับกลิ่นคาวในห้องครัว

  • พัดลม เปิดพัดลมระบายอากาศ หากใครไม่มีก็เอาพัดลมธรรมดาๆนี่แหละ ใช้ทดแทนกันได้ค่ะ โดยตั้งพัดลมให้หันหน้าออกไปทางหน้าต่าง จะช่วยดูดกลิ่น ดูดควันที่เกิดจากการประกอบอาหารออกสู่ภายนอก
  • น้ำส้มสายชู ในขณะประกอบอาหาร ให้นำน้ำส้มสายชูเทใส่ถ้วยเล็ก 2-3 ถ้วยแล้วมาวางไว้รอบๆตัว น้ำส้มสายชูจะช่วยดูดซับกลิ่นคาวจนหมด แต่ถ้าหากยังมีกลิ่นหลงเหลืออยู่บ้าง ให้วางน้ำส้มสายชูไว้ข้ามคืนแล้วค่อยเอาไปเททิ้ง รับรองเช้ามากลิ่นหาย ครัวกลับมาหอมแน่นอน
  • มะนาว ใครหาน้ำส้มสายชูไม่ได้ หันมาใช้มะนาวแทนก็ได้ วิธีการง่ายๆคือ หลังประกอบอาหารเสร็จ ให้ตั้งน้ำ ต้มให้เดือด จากนั้นบีบมะนาวลงไป ใส่เปลือกที่บีบแล้วไปด้วยยิ่งดี แล้วปล่อยให้น้ำเดือดประมาณครึ่งชั่วโมง กลิ่นคาวจะหายไป กลิ่นมะนาวหอมสดชื่นจะเข้ามาแทนที่
  • เบกกิ้งโซดา เป็นผู้ช่วยสารพัดหน้าที่กันไปเลยสำหรับเบกกิ้งโซดา ไม่ว่าจะกำจัดกลิ่น กำจัดคราบ ล้างท่อตัน ทำได้หมดทุกอย่าง เรียกว่าเป็นขวัญใจงานบ้านเลยทีเดียว สำหรับกำจัดกลิ่นคาวในครัว แค่นำเบกกิ้งโซดามาละลายน้ำแล้วนำไปขัดเขียงที่ใช้หั่นปลาหรือเนื้อ รวมไปถึงจุดอื่นๆ ที่มีกลิ่นคาว นอกจากนี้ควรเทเบกกิ้งโซดาใส่ถ้วยวางไว้ในครัว ต้องทิ้งไว้ค้างคืนนะคะ ตื่นเช้ามาครัวกลิ่นหาย ไร้กลิ่นคาวแน่นอน
  • น้ำร้อน หลังประกอบอาหารเสร็จ ต้มน้ำให้เดือดแล้วนำมาเทใส่เขียที่ใช้หั่นเนื้อ จากนั้นขัดออกแล้วล้างด้วยน้ำสะอาด อย่าลืมนำไปราดที่ท่อของซิงค์ล้างจานด้วยล่ะ ช่วยกำจัดกลิ่น 2 ต่อเลยค่ะ
  • กาแฟ นำกาแฟบดใส่ถ้วยเล็กๆ แล้วนำไปวางตามจุดที่มีกลิ่นคาว กาแฟจะช่วยดูดซับกลิ่นเหม็นๆ ได้เป็นอย่างดี ใครจะใช้กากกาแฟก็ได้นะคะ ได้ผลดีเช่นเดียวกัน
  • แอปเปิ้ล ฝานแอปเปิ้ลเป็นชิ้นบางๆ นำไปวางบนตัวปลาหรือเนื้อสัตว์อื่น ปิดฝาภาชนะที่ใส่เนื้อสัตว์ทิ้งไว้สักครู่ แอปเปิ้ลจะดูดกลิ่นมาจนหมด กลิ่นคาวจะน้อยลง ไม่ต้องกังวลเรื่องรสชาติ ปรุงอาหารได้อร่อยเพราะแอปเปิ้ลจะไม่เปลี่ยนรสและสีของเนื้อสัตว์เลยแม้แต่น้อยค่ะ
  • เปิดหน้าต่าง-ปิดประตูขณะประกอบอาหาร วิธีนี้เป็นวิธีที่ง่ายที่สุดสำหรับแก้ปัญหากลิ่นคาวในห้องค่ะ เมื่อต้องปรุงอาหารควรปิดประตูห้องครัวให้มิดชิด เพื่อกักกลิ่นไม่ให้ออกไปสู่ห้องต่างๆภายในบ้าน ส่วนหน้าต่างเปิดเพื่อระบายอากาศและไล่กลิ่นให้ออกไปจากตัวห้อง ไม่อย่างนั้นกลิ่นก็จะลอยอบอวลอยู่แต่ในห้องนั่นเอง
  • เป็นอย่างไรกันบ้างสำหรับสารพัดเทคนิคในการกำจัดกลิ่นคาวที่เรานำมาฝากกันในวันนี้ แต่ละวิธีทำตามกันได้ไม่อยากเลยใช่มั้ยละคะ ใครทำวิธีไหนแล้วได้ผลอย่าลืมนำเคล็ดลับนี้ไปบอกต่อกันด้วยนะคะ รับรองว่าหมดกังวลใจ หายห่วงเรื่องกลิ่นคาวอย่างแน่นอน


    10 อันดับ สูตรลดรอยสิว รอยดำ...ช่วยผิวกลับมาใสปิ๊งดังเดิม

    สูตรลดรอยสิว รอยดำ

    หลายคนมีปัญหาผิวหน้า โดยเฉพาะศัตรูตัวร้ายกับผิวหน้าอย่าง “สิว” เพราะนอกจากจะรักษาให้หายเด็ดขาดไม่ใช่เรื่องง่ายแล้ว เรื่องของ “รอยสิว” ก็เป็นอีกหนึ่งปัญหาที่น่าหนักใจตามมา

    หลายคนต้องวุ่นอยู่กับการหาผลิตภัณฑ์หรือพบแพทย์เพื่อทำการรักษารอยสิว แต่วันนี้ปัญหารอยสิวนี้จะไม่ใช่ปัญหาใหญ่อีกต่อไป เพราะว่าเรามี 10 สูตรลดรอยสิวจากธรรมชาติมาฝากกัน ส่วน 10 สูตรจะมีอะไรบ้าง ไปดูกันเลย

    สูตรลดรอยสิว รอยดำ เพื่อหน้าสวยใส

    10. สูตรมะละกอสุกลดรอยสิว รอยดำ

    มะละกอเป็นผลไม้ที่อุดมไปด้วยสารปาเปน ซึ่งเป็นเอนไซม์โปรตีนที่ช่วยขัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วให้หลุดออกได้ และยังช่วยกระตุ้นการสร้างเซลล์ผิวใหม่ที่ดูสดใสกว่าขึ้นมาแทน อีกทั้งมะละกอยังอุดมไปด้วยวิตามินซีและวิตามินอี ที่เป็นตัวช่วยขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วและช่วยทำให้ผิวเนียนนุ่ม วิธีการทำ คือ นำเนื้อมะละกอสุกมาปั่นให้ละเอียดแล้วนำมาพอกให้ทั่วใบหน้า (เว้นรอบดวงตา) ทิ้งไว้ประมาณ 15 – 20 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำอุ่นให้สะอาด เพียงเท่านี้คุณจะรู้สึกได้ถึงผิวหน้าที่เต่งตึงและดูสดชื่นขึ้น สูตรนี้เหมาะสำหรับคนที่ไม่ได้มีรอยสิวชัดเจนมาก

    มะละกอสุกลดรอยสิว รอยดำ

    9. สูตรมะนาว + น้ำผึ้งลดรอยสิว รอยดำ

    สำหรับมะนาวกับน้ำผึ้งหลายคนคงทราบถึงสรรพคุณในการดูแลรักษาผิวเป็นอย่างดี ส่วนวิธีการทำสูตรนี้ก็ง่ายๆ เพียงแค่คุณนำน้ำผึ้งมาผสมกับน้ำมะนาว แล้วนำมาทาลงบนใบหน้าให้ทั่วทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที สูตรนี้ให้ทำอาทิตย์ละ 2 ครั้งเท่านั้นจะช่วยลดรอยดำรอยแดงจากสิวได้ แนะนำว่าสูตรนี้ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวบอบบาง เพราะอาจจะทำให้ผิวยิ่งบาง แสบหรือระคายเคือง และเกิดอาการแพ้ได้ง่าย

    ลดรอยสิวด้วยมะนาว น้ำผึ้ง

    ว่านหางจระเข้เป็นอีกตัวช่วยหนึ่งที่สามารถลดรอยแผลเป็นและรอยดำต่างๆ ได้ดี วิธีใช้ก็แค่นำว่านหางจระเข้มาทาบริเวณใบหน้าวันละ 2 ครั้ง โดยทาทิ้งไว้ประมาณ 45 นาที ทำติดต่อกันเป็นประจำ 1 – 2 เดือน รับรองว่ารอยด่างดำต่างๆ ก็จะค่อยๆ จางลงอย่างเห็นได้ชัด แถมยังช่วยลดความมันบนใบหน้าได้ดีอีกด้วย

    ว่านหางจระเข้ลดรอยสิว รอยดำ

    7. สูตรแตงกวา + มะนาว + น้ำผึ้งลดรอยสิว รอยดำ

    สำหรับสูตรนี้สิ่งที่คุณต้องเตรียม คือ แตงกวา มะนาว และน้ำผึ้ง ส่วนวิธีการทำก็คือ ให้คั้นเอาน้ำแตงกวา 1 ช้อนโต๊ะ มาผสมกับน้ำผึ้งและน้ำมะนาวอย่างละ 1 ช้อนโต๊ะ คนให้เข้ากันแล้วนำมาทาบนใบหน้าทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที สูตรนี้สามารถทำได้อาทิตย์ละ 2 ครั้ง โดยมะนาวและแตงกวาจะมีสรรพคุณในการช่วยลดจุดด่างดำให้จางลง ส่วนน้ำผึ้งมีคุณสมบัติเพิ่มความชุ่มชื้นและทำให้ผิวหน้าเนียนนุ่ม เพราะฉะนั้นหากใช้สูตรนี้นอกจากจุดด่างดำจะดูจางลงแล้ว แถมใบผิวหน้าสุขภาพดีอีกด้วย

    6. สูตรมะเขือเทศ + ข้าวโอ๊ต + โยเกิร์ตรสธรรมชาติลดรอยสิว รอยดำ

    สูตรนี้ถือเป็นสูตรที่ดีสูตรหนึ่ง เพราะเป็นสูตรที่สามารถใช้ได้กับทุกสภาพผิว วิธีการทำก็คือนำมะเขือเทศมาคั้นแยกกากเอาแต่น้ำมาผสมกับข้าวโอ๊ต 1 ช้อนโต๊ะ และโยเกิร์ตรสธรรมชาติอีก 1 ช้อนชา จากนั้นคนให้เข้ากัน แล้วนำมาพอกหน้าทิ้งไว้ประมาณ 20 – 30 นาที สูตรนี้แนะนำให้ทำอาทิตย์ละครั้งก็เพียงพอแล้ว โดยวิตามินจากมะเขือเทศจะเข้าไปช่วยผลัดเซลล์ผิวเก่าให้หลุดออก ทำให้รอยด่างดำบนใบหน้าดูจางลง

    สูตรนี้เป็นสูตรที่เหมาะกับคนที่มีผิวหน้ามันแบบสุดๆ เพราะสูตรนี้นอกจากจะช่วยขจัดปัญหารอยแผลและจุดด่างดำแล้ว ยังสามารถช่วยกำจัดความมันส่วนเกินบนใบหน้าได้อีกด้วย แต่ต้องบอกก่อนว่าสูตรนี้ไม่เหมาะกับผู้ที่มีผิวแพ้ง่ายเป็นอย่างยิ่ง วิธีการทำก็คือ คั้นเอาน้ำสับปะรดมาผสมกับน้ำผึ้ง แล้วทาบางๆ ให้ทั่วใบหน้าทิ้งไว้ประมาณ 15 – 20 นาที แล้วล้างออกให้สะอาด สูตรนี้สามารถทำได้อาทิตย์ละ 1 – 2 ครั้ง ที่สำคัญอย่าลืมทากันแดดก่อนออกจากบ้านทุกครั้ง เพราะเมื่อทำสูตรนี้แล้วผิวจะค่อนข้างไวต่อแสงแดด

    4. สูตรเนื้อองุ่นเขียว + โยเกิร์ตรสธรรมชาติ + น้ำผึ้ง + น้ำมะนาวลดรอยสิว รอยดำ

    แม้ว่าสูตรนี้จะเป็นสูตรที่ค่อนข้างมีส่วนผสมที่ค่อนข้างมาก แต่สูตรนี้ถือเป็นสูตรที่อ่อนโยน ปลอดภัยและทำให้ผิวหน้ามีความชุ่มชื้น แนะนำว่าสูตรนี้จะเหมาะสำหรับคนผิวแห้งเป็นพิเศษ โดยวิธีทำคือ นำเนื้อองุ่นประมาณ 2 ช้อนโต๊ะ โยเกิร์ตรสธรรมชาติ 1 ช้อนโต๊ะ น้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ และน้ำมะนาวอีกเล็กน้อยมาปั่นให้เข้ากันจนเป็นเนื้อครีม แล้วเอามาพอกบริเวณใบหน้า จากนั้นก็ล้างออกด้วยน้ำเย็น สูตรนี้สามารถทำได้อาทิตย์
    ละ 2 – 3 ครั้ง แล้วจุดด่างดำจะค่อยๆ จางหายไปในที่สุด

    3. สูตรมะขามเปียก + น้ำผึ้ง + นมสดลดรอยสิว รอยดำ

    มะขามเปียกเป็นสมุนไพรที่พูดถึงกันมายาวนานในเรื่องของผิวพรรณและเป็นที่ยอมรับว่ามันสามารถช่วยทำให้ผิวขาวและช่วยผลัดเซลล์ผิวได้เป็นอย่างดี สูตรนี้มีวิธีการคือ นำน้ำมะขามมาผสมกับน้ำผึ้งและนมสดเล็กน้อย เมื่อผสมจนเข้ากันดีให้นำมาพอกหน้าทิ้งไว้ประมาณ 15 – 20 นาที แล้วจึงล้างออกให้สะอาด โดยสูตรนี้สามารถทำได้อาทิตย์ละ 1 - 2 ครั้ง จุดด่างดำรอยสิวที่กวนใจก็จะจางลง

    วิธีรักษาฝ้าด้วยมะขามเปียก

    2. สูตรมะเฟือง + น้ำผึ้งลดรอยสิว รอยดำ

    สำหรับสูตรนี้เป็นสูตรที่เห็นผลได้ค่อนข้างชัดเจนในเรื่องของการลดรอยสิว แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ต้องระมัดระวังในการใช้ด้วย สูตรนี้ให้คั้นเอาน้ำมะเฟืองมาผสมกับน้ำผึ้ง จากนั้นนำมาแต้มลงบนจุดด่างดำ รอยสิวปล่อยทิ้งไว้ประมาณ 20 – 30 นาที แล้วล้างออกให้สะอาด สูตรนี้ไม่จำเป็นต้องทาทั้งหน้า เพราะค่อนข้างจะกัดผิวหน้า ทำอาทิตย์ละครั้งก็เพียงพอแล้ว จะช่วยทำให้เซลล์ผิวใหม่ขาวขึ้น บริเวณที่เป็นรอยจะจางลดอย่างเห็นได้ชัด

    1. สูตรหอมแดงลดรอยสิว รอยดำ

    มาถึงสุดยอดของสูตรในการลดรอยสิวนั่นคือ “สูตรหอมแดง” หอมแดงเป็นสมุนไพรที่ช่วยในการรักษาจุดด่างดำ รอยดำรอยแดง ผิวที่ดำคล้ำ รวมไปถึงฝ้าและกระได้อย่างดียิ่ง วิธีการทำก็ง่ายๆ เพียงแค่นำหอมแดงมาฝานออกเป็นแว่นๆ แล้วนำมาถูบริเวณที่เป็นรอยดำรอยสิว หรือจะนำมาทุบแล้วบีบเอาน้ำมาทาผิวที่เป็นรอยก็ได้เช่นกัน โดยให้ทาทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที วิธีนี้สามารถทำได้อาทิตย์ละ 2 ครั้ง รับรองว่ารอยดำรอยแดงจากสิวหายไปอย่างแน่นอน แถมสูตรนี้ไม่มีหอมแดงสามารถใช้กระเทียมแทนก็ได้ ได้ผลดีเช่นเดียวกัน

    หัวหอม ดูแลสุขภาพหน้าหนาว

    สำหรับสูตรในการลดรอยสิวใครสนใจสูตรไหนก็ลองทำตามกันดู ที่สำคัญเลือกให้เหมาะกับผิวหน้าของตนเอง เพื่อให้ได้ผลลัพธ์เป็นที่น่าพึงพอใจ

    เรียบเรียงข้อมูลโดย : เว็บsukkaphap-d.com


    10 สูตรหมักผมสวย ด้วยธรรมชาติปราศจากเคมี

    สูตรหมักผมสวยสวย

    สาวๆ ทุกคนคงอยากมีผมสวยสุขภาพดี แต่ในปัจจุบันนี้ผมของเราต้องเผชิญกับมลภาวะต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นมลพิษทางอากาศ ฝุ่นควัน หรือแม้แต่สารเคมีจากการยืด ดัด และทำสี หรือการเลือกใช้ยาสระผมที่ไม่เหมาะกับสภาพผมของเรา ล้วนมีส่วนทำให้เส้นผมของเราแห้งกร้าน แตกปลายและชี้ฟูได้

    การสระผมด้วยแชมพูและบำรุงด้วยครีมนวดผมสองอย่างอาจไม่เพียงพอ หนำซ้ำสารเคมีต่างๆ ที่อยู่ในผลิตภัณฑ์อาจทำร้ายเราได้ ดังนั้นขั้นตอนของการหมักผมก็มีความสำคัญ ซึ่งจะทำให้ผมของเราได้รับการบำรุงอย่างเต็มที่ แต่วันนี้เราจะเสนอ 10 สูตรหมักผมที่มาจากธรรมชาติ เพื่อบำรุงผมของเราให้นุ่มสวยแถมปลอดภัยจากสารเคมีอีกด้วย ส่วน 10 สูตรจะมีอะไรบ้างไปดูกันเลย

    สูตรหมักผมสำหรับคนผมแห้ง

    สำหรับผู้ที่มีปัญหาผมแห้ง ผมแตกปลาย กรอบ เปราะ หัก และหลุดร่วงได้ง่าย หากอยากกลับมามีผมที่นุ่มสวยอีกครั้งแนะนำให้ตัดเล็มผมส่วนที่เสียออกให้หมดก่อน จากนั้นจึงมาหมักผมด้วยสูตรต่างๆ ตามชอบดังนี้

    1. สูตรหมักผมสวยด้วยไข่แดงและน้ำมันมะพร้าว

    สิ่งที่ต้องเตรียม : ไข่ไก่ 2 ฟอง (เอาเฉพาะไข่แดง) และน้ำมันมะพร้าว 2 ช้อนโต๊ะ

    วิธีทำ นำไข่แดงและน้ำมันมะพร้าวมาผสมให้เข้ากัน จากนั้นนำมาชโลมให้ทั่วเส้นผม แต่ก่อนจะชโลมที่เส้นผมแนะนำว่า อย่าลืมหวีผมให้เรียบร้อยก่อนเพื่อป้องกันไม่ให้ผมพันกันและเอาเศษสิ่งสกปรกออกไป ให้หมักทิ้งไว้ประมาณ 30 นาที แล้วล้างออกให้สะอาดตามด้วยการสระผมแบบปกติ ควรทำอย่างน้อยสัปดาห์ละ 1 ครั้ง ติดต่อกันเป็นเวลา 1 เดือน รับรองว่าสุขภาพผมของคุณจะค่อยๆ ดีขึ้น และนุ่มสวยขึ้นได้อย่างแน่นอน

    2. สูตรหมักผมสวยด้วยน้ำมันมะกอก

    สิ่งที่ต้องเตรียม : น้ำมันมะกอกแบบอุ่นๆ หรือแบบธรรมดา (แบบอุ่นจะซึบซาบเข้าสู่แกนผมได้ดีกว่า)

    วิธีทำ ให้นำน้ำมันมะกอกมาชโลมให้ทั่วเส้นผมทิ้งไว้ได้นานเท่าที่เราต้องการหรืออย่างน้อย 30 นาที แล้วจึงล้างออกแล้วสระผมตามปกติ สูตรนี้สามารถทำได้ทุกวันเลยทีเดียว แต่ถ้าไม่มีเวลาควรทำให้ได้อย่างน้อยสัปดาห์ละ 1 ครั้ง เพียงเท่านี้ปัญหาผมแห้งแตกปลายของคุณก็จะหายไป ผมกลับมานุ่มสวยอีกครั้ง

    หมักผมด้วยน้ำมันมะกอก

    3. สูตรหมักผมสวยด้วยน้ำผึ้งและไข่แดง

    สิ่งที่ต้องเตรียม : ไข่แดงประมาณ 2 ฟอง และน้ำผึ้งประมาณ 3 ช้อนโต๊ะ (ผมสั้นและผมยาวจะใช้ต่างกัน)

    วิธีทำ นำน้ำผึ้งและไข่แดงมาผสมให้เข้ากันแล้วนำส่วนผสมที่ได้มาชโลมให้ทั่วเส้นผม หมักทิ้งไว้ประมาณ
    30 นาที ถึง 1 ชั่วโมง ควรทำอย่างน้อยสัปดาห์ละ 1 ครั้ง เมื่อทำเป็นประจำผมของคุณจะค่อยๆ ดีขึ้น ไม่แห้งแตกปลายและนุ่มลื่นขึ้นจนคุณสัมผัสได้

    สูตรหมักผมสำหรับคนผมมัน

    ถ้าหากคุณสาวๆ คนไหนเป็นคนผมมันอันดับแรกคุณควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ในการทำความสะอาดและดูแลเส้นผมที่เป็นสูตรเฉพาะสำหรับคนผมมันด้วย เพราะไม่เช่นนั้นคุณจะมีอีกหนึ่งปัญหาตามมา นั่นก็คือ “รังแค” เพราะคนที่มีหนังศีรษะที่มันทำให้เกิดรังแคได้ สำหรับสูตรหมักผมที่เหมาะกับคนผมมันมี ดังนี้

    1. สูตรหมักผมสวยด้วยมะนาวและไข่ขาว

    สิ่งที่ต้องเตรียม : มะนาว 1 ลูก (บีบเอาแต่น้ำ) และไข่ไก่ 2 ฟอง (แยกเอาแต่ไข่ขาว)

    วิธีทำ นำน้ำมะนาวและไข่ขาวมาผสมให้เข้ากัน จากนั้นนำมาชโลมให้ทั่วเส้นผมและหนังศีรษะ โดยนวดเบาๆ ให้ทั่ว แล้วหมักทิ้งไว้ประมาณ 20 – 30 นาที แล้วจึงล้างออกด้วยน้ำเปล่าให้สะอาด สระผมตามปกติ สำหรับสูตรนี้ควรทำสัปดาห์ละ 1 ครั้ง จะช่วยลดปัญหาความมันของเส้นผมและหนังศีรษะให้น้อยลงได้

    2. สูตรหมักผมสวยด้วยมะนาวและว่านหางจระเข้

    สิ่งที่ต้องเตรียม : มะนาว 1 ลูก (บีบเอาแต่น้ำ) และว่านหางจระเข้เลือกก้านแก่ ๆ มา 1 ก้าน (เอาแต่วุ้นใส ๆ)

    วิธีทำ ให้นำน้ำมะนาวและวุ้นว่านหางจระเข้มาผสมให้เข้ากัน แล้วนำไปชโลมให้ทั่วเส้นผมและหนังศีรษะ จากนั้นหมักทิ้งไว้ประมาณ 10 - 15 นาที แล้วล้างออกให้สะอาดสระผมตามปกติ ควรทำอย่างน้อยสัปดาห์ละ 1 ครั้ง จะช่วยลดความมันบนเส้นผมและหนังศีรษะได้ดี

    ว่านหางจระเข้หมักผม

    สิ่งที่ต้องเตรียม : ไข่ไก่ 1 ฟอง (เอาแต่ไข่ขาว) และน้ำอุ่นประมาณ 1 แก้ว

    วิธีทำ นำส่วนผสมทั้งสองอย่างมาผสมให้เข้ากัน จากนั้นนำมาชโลมให้ทั่วเส้นผมและหนังศีรษะ โดยนวดเบา ๆ ให้ทั่ว จากนั้นหมักทิ้งไว้ประมาณ 10 – 15 นาที แล้วล้างออกให้สะอาดสระผมตามปกติ แต่ในขั้นตอนสุดท้ายให้ล้างผมด้วยน้ำอุ่น สำหรับวิธีนี้ควรทำ 3 ครั้งต่อสัปดาห์ เพื่อช่วยลดปัญหาเส้นผมและหนังศีรษะมันได้เร็วยิ่งขึ้น ผมกลับสวยสุขภาพดีอีกครั้ง

    สิ่งที่ต้องเตรียม : มะนาว 1 – 2 ลูก (บีบเอาแต่น้ำ) และน้ำเปล่า 1 ถ้วย

    วิธีทำ นำน้ำมะนาวและน้ำเปล่ามาผสมให้เข้ากันแล้วนำไปชโลมให้ทั่วเส้นผมและหนังศีรษะ จากนั้นหมักทิ้งไว้ประมาณ 1 – 2 ชั่วโมง แล้วจึงล้างออกให้สะอาดสระผมตามปกติ สูตรนี้ควรทำสัปดาห์ละ 1 ครั้ง เป็นวิธีที่สามารถช่วยลดความมันของเส้นผมและหนังศีรษะของคุณได้เป็นอย่างดี

    สูตรหมักผมสำหรับคนผมชี้ฟู

    ปัญหาผมชี้ฟู ไม่มีน้ำหนักทำให้จัดทรงยาก เป็นปัญหาที่ทำให้คุณสาวๆ ไม่มั่นใจ เพราะหน้าสวยแต่ผมไม่สวยก็ไม่น่าโอเค ซึ่งสูตรที่จะช่วยจบปัญหาของคุณสาวๆ มีดังนี้

    สิ่งที่ต้องเตรียม : น้ำผึ้ง 2 ช้อนโต๊ะ น้ำมันมะกอก 1 ช้อนโต๊ะ และน้ำส้มสายชูหมักจากแอปเปิ้ล 1 ช้อนโต๊ะ

    วิธีทำ นำส่วนผสมทั้งหมดมาผสมให้เข้ากัน จากนั้นนำไปชโลมให้ทั่วเส้นผมหมักทิ้งไว้ประมาณ 1 ชั่วโมง แล้วจึงล้างออกด้วยน้ำสะอาดและสระผมตามปกติ สำหรับสูตรนี้สามารถทำได้บ่อยเท่าที่ต้องการ เมื่อทำเป็นประจำเส้นผมของคุณจะค่อยๆ นุ่มลื่นขึ้น เรียบขึ้นไม่ชี้ฟู และจัดทรงได้ง่าย

    หมักผมด้วยน้ำผึ้ง

    2. สูตรหมักผมสวยด้วยกล้วยหอม

    สิ่งที่ต้องเตรียม : กล้วยหอม 2 ผล ไข่ไก่ 1 ฟอง (เอาเฉพาะไข่ขาว) น้ำมันมะกอก 2 ช้อนโต๊ะ น้ำผึ้ง 2 ช้อนโต๊ะ และโยเกิร์ตรสธรรมชาติ 2 ช้อนโต๊ะ

    วิธีทำ นำส่วนผสมทั้งหมดมาปั่นจนเข้ากัน จากนั้นนำมาชโลมให้ทั่วเส้นผม แล้วหมักทิ้งไว้อย่างน้อย 30 นาทีหรือนานตามต้องการ แล้วจึงสระผมให้สะอาด ในระหว่างสระให้ใช้หวีซี่ห่างๆ แปรงผมเบาๆ เพื่อกำจัดเศษต่างๆ ที่ติดอยู่บนเส้นผม สูตรนี้ควรทำสัปดาห์ละ 1 ครั้ง เมื่อทำเป็นประจำจะช่วยให้เส้นผมของคุณมีน้ำหนักขึ้น นุ่มขึ้น และหมดปัญหาเส้นผมชี้ฟู ผมกลับมาสวยได้อย่างแน่นอน

    หมักผมด้วยกล้วยหอม

    3. สูตรหมักผมสวยด้วยไข่ขาว

    สิ่งที่ต้องเตรียม : ไข่ไก่ 1 ฟอง (เอาแต่ไข่ขาว) โยเกิร์ตรสธรรมชาติ 4 ช้อนโต๊ะ และมายองเนส 2 ช้อนโต๊ะ

    วิธีทำ นำไข่ขาวมาตีให้เป็นฟอง จากนั้นนำโยเกิร์ตและมายองเนสมาผสมให้เข้ากันจนเป็นเนื้อเดียว ชโลมผมให้เปียกด้วยน้ำเปล่าก่อน จากนั้นจึงนำส่วนผสมที่ได้มาชโลมทับให้ทั่วเส้นผม หมักทิ้งไว้ประมาณ 30 นาที
    แล้วจึงสระผมให้สะอาดตามปกติ สูตรนี้สามารถทำได้บ่อยเท่าที่ต้องการ แต่อย่างน้อยควรทำสัปดาห์ละ 1 ครั้ง จะช่วยให้เส้นผมของคุณมีสุขภาพดีและกลับมามีผมสวยสุขภาพดีได้อีกครั้ง

    สำหรับสูตรในการหมักผมนี้ ไม่มีสูตรไหนดีกว่าสูตรไหน เพียงแต่คุณต้องเลือกสูตรที่เหมาะกับสภาพเส้นผมและหนังศีรษะของคุณ อีกทั้งความมีระเบียบวินัยในการก็มีความสำคัญที่จะช่วยให้ผมของคุณสวยจนคุณและคนใกล้ตัวก็หลงรักผมของคุณ

    เรียบเรียงข้อมูลโดย : เว็บ sukkaphap-d.com


    10 อันดับสูตรลดความอ้วนของคนดัง อยากหุ่นปังต้องลองดู

    สูตรลดน้ำหนัก ลดความอ้วนของดารา

    ทุกวันนี้อาหารการกินของบ้านเรามีให้เลือกรับประทานมากมาย จนสาวๆ บางคนเพลิดเพลินไปกับการรับประทานของอร่อยๆ จนลืมขึ้นเครื่องชั่งน้ำหนักไปเสียแล้ว นึกขึ้นได้ไปลองชั่งดู น้ำหนักของสาวๆ ก็พุ่งสูงขึ้นอย่างหยุดไม่อยู่...เรื่องความอ้วนเป็นเรื่องที่น่าหนักใจสำหรับสาวๆ มาก เพราะตอนที่จะลดมันช่างยากเย็น ดังนั้นวันนี้เราจึงมี 10 อันดับสูตรลดความอ้วนจากเหล่าคนดังมาฝากสาวๆ กัน ส่วนจะมีสูตรไหนบ้างลองไปดูกันเลย

    เคล็ดไม่ลับ กับ 10 สูตรลดน้ำหนักของคนดัง

    10. สูตรลดความอ้วนของสาว Park Boram

    นักร้องสาวสวยจากเกาหลีที่ใครเห็นว่าหุ่นดีหุ่นเป๊ะ แต่เมื่อก่อนถือว่าเธอเป็นสาวคนหนึ่งที่มีรูปร่างอวบและเจ้าเนื้อสุดๆ ส่วนเคล็ดลับในการลดความอ้วนของเธอ คือ

    สูตรลดความอ้วนของparkboram

    1. เต้นแอโรบิคอย่างสม่ำเสมอ

    2. การควบคุมอาหาร โดยแบ่งออกเป็น 5 มื้อย่อย ในหนึ่งวัน ดังนี้

    • มื้อเช้ามันหวานต้มครึ่งหัว มะเขือเทศลูกเล็ก 4 ลูก แตงกวา และพริกเหลืองใหญ่
    • มื้อกลางวันสลัดไก่คลีนๆ
    • มื้อย่อยกล้วย วอลนัต ไข่ต้ม
    • มื้อเย็นมันหวานต้มครึ่งหัว อกไก่ ผักกะหล่ำปลีต้ม
    • มื้อย่อยก่อนนอน กล้วย วอลนัต ไข่ต้ม

    สาวๆ คนไหนที่สนใจสูตรนี้ก็ลองทำตามสาว Park Boram กันได้เลย หุ่นจะได้กลับมาเป๊ะสุดๆ

    9. สูตรลดความอ้วนของสาวคิมเบอร์ลี่

    นักแสดงสาวชื่อดังของไทยอย่างสาวคิมเบอร์ลี่ก็เป็นคนหนึ่งที่แต่ก่อนเธอมีรูปร่างเจ้าเนื้อสุดๆ แต่ปัจจุบันสาวคิมเบอร์ลี่กลับมีรูปร่างที่เป๊ะปัง เพราะเธอลดน้ำหนักลงมาได้ถึง 20 กิโลกรัม ส่วนเธอมีสูตรในการลดความอ้วนอย่างไรไปดูกันเลย

    สูตรลดน้ำหนักคิมเบอร์ลี่

    1. รับประทานผลไม้หลากสี โดยเธอเลือกรับประทานผลไม้หลากสี รสเปรี้ยวอมหวานในตระกูลเบอร์รี่ เพราะผลไม้เหล่านี้รับประทานแล้วไม่อ้วน โดยในทุกมื้อของเธอจะต้องมีผลไม้เป็นส่วนประกอบหลัก

    2. ดื่มน้ำมากๆ การดื่มน้ำมากๆ จะช่วยลดความอยากอาหารได้ ช่วยในเรื่องของระบบการย่อย และทำให้ผิวพรรณเปล่งปลั่งสดใสได้อีกด้วย

    3. เลือกรับประทานแต่ไขมันดี เธอเป็นคนหนึ่งที่ลดน้ำหนักด้วยวิธีการที่ถูกต้องกับร่างกาย เพราะเธอไม่ได้งดไขมันแต่ลดไขมัน ทั้งยังเลือกรับประทานอาหารที่มีไขมันดีต่อร่างกาย เพราะทำให้ผิวพรรณของเธอและฮอร์โมนของเธอเป็นปกติไม่เสื่อมโทรมอีกด้วย ส่วนอาหารที่เธอเลือกรับประทาน คือ ปลา อโวคาโด และปลาทะเล

    4. ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เธอใช้วิธีการออกกลังกายแบบผสมผสาน ทั้งการยกเวทบริหารกล้ามเนื้อ และการออกกำลังกายอื่นๆ เช่น วิ่ง ว่ายน้ำ และแบตมินตัน เป็นต้น

    สาวๆ คนไหนที่อยากหุ่นสวยและสุขภาพดีไปด้วยก็ลองไปทำตามสาวคิมเบอร์ลี่กันได้เลย

    8. สูตรลดความอ้วนของสาวหนูแหม่ม สุริวิภา

    เป็นสาวคนหนึ่งที่มีหุ่นเจ้าเนื้อสุดๆ มาแต่ไหนแต่ไร แต่มาช่วงหลังสาวหนูแหม่มกลับมีรูปร่างที่ผอมลงมาก แถมดูมีสุขภาพดีอีกด้วย ส่วนวิธีการลดความอ้วนของสาวหนูแหม่มก็ง่ายมาก คือ การออกกำลังกายด้วยวิธีการเล่นโยคะเป็นประจำสม่ำเสมอ ควบคุมปริมาณอาหารที่รับประทาน เลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ และไม่รับประทานอาหารมัน เพียงเท่านี้ถือว่าเป็นวิธีการที่ง่ายๆ มาก แต่กลับทำให้สาวหรูแหม่มลดน้ำหนักจาก 81 กิโลกรัม เหลือเพียง 75 กิโลกรัม ภายในช่วยเวลาไม่นานนัก

    สูตรลดน้ำหนักแหม่ม สุริวิภา

    สาวๆ คนไหนที่ไม่อยากจะออกกำลังกายด้วยวิธีการที่หักโหมหรือไม่อยากอดอาหารก็ลองใช้วิธีการนี้กันดู รับรองลดความอ้วนได้ชัวร์

    7. สูตรลดความอ้วนของสาวซิลวี่ เดอะสตาร์

    สูตรลดน้ำหนักซิลวี่ เดอะสตาร์

    หากใครเคยดูรายการเดอะสตาร์ คงไม่มีใครไม่รู้จักสาวซิลวี่ เดอะสตาร์ ซึ่งเป็นสาวคนหนึ่งที่มีรูปร่างอวบอ้วนมาก แต่ช่วงหลังกลับเห็นสาวซิลวี่มีรูปร่างที่เป๊ะขึ้นและเซ็กซี่สุดๆ ส่วนวิธีการของสาวซิลวี่ คือ การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมออย่างน้อยอาทิตย์ละ 3 ครั้ง และในทุกๆ วันจะต้องเบิร์นไขมันออกให้ได้อย่างน้อยวันละ 1,000 แคลอรี่ ที่สำคัญรับประทานอาหารที่มีประโยชน์เท่านั้นและรับประทานในปริมาณที่พอดีหรือน้อยลง

    สาวๆ คนไหนที่สนใจก็ลองเอาไปทำตามกันดู เพราะสูตรนี้ทำให้สาวซิลวี่ลดน้ำหนักจาก 85 กิโลกรัม เหลือเพียง 58 กิโลกรัมเท่านั้น น่าสนใจใช่ไหม

    6. สูตรลดความอ้วนของสาวเจนนิเฟอร์ โลเปซ

    สาวๆ คนไหนที่ลองสูตรลดความอ้วนของคนดังบ้านเราแล้วไม่ได้ผล ก็ลองหันมาดูสูตรของดังต่างแดนอย่างสาวเจนนิเฟอร์ โลเปซกันดู เธอมีวิธีการลดน้ำหนักที่แปลกและแหวกแนวกว่าคนอื่นเขา เพราะเธอใช้วิธีการรับประทานทุกอย่างที่เธอออยากรับประทาน ไม่ว่าจะอ้วนหรือไม่อ้วนก็ตาม แต่เธอรับประทานมันแค่ 1 ส่วนเท่านั้นจากทั้งหมด เช่น คุกกี้ 1 กล่อง เธอก็รับประทานเพียง 1 ชิ้น ซึ่งสอดคล้องกับคำพูดของเธอที่ได้กล่าวไว้ในนิตยสารวูเมินฟิตเนสว่า “ ทานของอ้วนๆ เพียงเล็กน้อยมันไม่ฆ่าคุณหรอก แต่ถ้าทานหมดทั้งกล่องมันฆ่าคุณแน่”

    สูตรลดความอ้วนของสาวเจนนิเฟอร์ โลเปซ

    ดังนั้นสาวๆ คนไหนที่ยังเลิกหรืองดรับประทานของอ้วนไม่ได้ ก็ลองใช้วิธีของสาวเจนนิเฟอร์ดูก็ได้ เพราะนอกจากจะหุ่นไม่เสียแล้ว ยังได้รับประทานของที่อยากรับประทานอีกด้วย แต่วิธีนี้แนะนำว่าสาวๆ ต้องมั่นใจก่อนว่าจะยับยั้งชั่งใจในการรับประทานในปริมาณที่น้อยนิดได้แน่ๆ

    5. สูตรลดความอ้วนของสาว Yoon Eun Hye

    สำหรับสูตรลดความอ้วนของสาว Yoon Eun Hye นั้น เธอใช้วิธีการกำหนดตารางการรับประทานอาหารของตัวเอง ซึ่งแน่นอนว่าจะสร้างวินัยในการรับประทานอาหารให้แก่ตัวเองมากขึ้น เหมาะกับคนที่จะลดความอ้วนอย่างจริงจัง โดยตารางในการรับประทานอาหารของเธอ คือ

    • มื้อเช้ารับประทาน 170 กรัม มีข้าว ซุป ถั่วต้ม สลัดข้าวโพด และผักกิมจิ
    • มื้อกลางวันรับประทาน 170 กรัม มีข้าว ซุปปู มันฝรั่ง สลัด ถั่วลิสง และกิมจิ
    • อาหารว่างบ่าย½ ถุงเค้กข้าวโพด และมะเขือเทศเชอร์รี่ 200 กรัม
    • มื้อเย็นรับประทาน 170 กรัม มีข้าว ซุปเห็ด ปลา ถั่วอบ และกิมจิ
    • มื้อกลางคืนสตรอเบอร์รี่ 10 – 20 ลูก
    สูตรลดความอ้วนของสาว Yoon Eun Hye

    สูตรนี้จะช่วยให้สาวๆ มีระเบียบวินัยในการรับประทานอาหารมากขึ้น ควบคุมน้ำหนักได้ดี ทำให้หุ่นสวยและไม่เสียสุขภาพอีกด้วย

    4. สูตรลดความอ้วนของสาวเบนซ์ พรชิตา

    ถึงแม้สาวเบนซ์จะบอกว่าตนเองเป็นสาวสายกิน แต่หุ่นของเธอก้ยังคงสมส่วนสวยงามอยู่ เพราะมีสูตรเด็ดไว้ค่อยควบคุมน้ำหนักนั่นเอง สูตรนี้ใช้บ่อยเวลาที่ต้องการลดความอ้วนแบบเร่งด่วน ทำอาทิตย์เดียวลดได้ประมาณ 5 กิโลกรัม หากทำซ้ำ 2 รอบจะลดได้ถึง 7 กิโลกรัม และทำติดต่อกันได้ไม่เกิน 2 อาทิตย์ ทั้งนี้ควรดื่มน้ำอย่างน้อย 2 แก้วก่อนรับประทานอาหารทุกมื้อ

    สูตรลดความอ้วนของสาวเบนซ์ พรชิตา

    วันที่ 1   :

    เช้า : โยเกิร์ตรสธรรมชาติ 1 ถ้วย
    เที่ยง : ไข่ต้ม 2 ฟอง
    เย็น : สลัดผักน้ำใส

    วันที่ 2   :

    เช้า : น้ำผลไม้คั้น 1 แก้ว
    เที่ยง : ไข่ต้ม 2 ฟอง
    เย็น : โยเกิร์ตรสธรรมชาติ 1 ถ้วย

    วันที่ 3   :

    เช้า : โยเกิร์ตรสธรรมชาติ 1 ถ้วย
    เที่ยง : เกาเหลาลูกชิ้น 1 ชาม
    เย็น : สับปะรด 1 ชิ้น

    วันที่ 4   :

    เช้า : น้ำผลไม้คั้น 1 แก้ว
    เที่ยง : ส้มตำ-ไก่ย่าง
    เย็น : โยเกิร์ตรสธรรมชาติ 1 ถ้วย

    วันที่ 5  :

    เช้า : น้ำผลไม้คั้น 1 แก้ว
    เที่ยง : สลัดผักน้ำใส + ไก่ย่าง
    เย็น : สลัดผักน้ำใส

    วันที่ 6  :

    เช้า : น้ำผลไม้คั้น 1 แก้ว
    เที่ยง : ปลานึ่งหรือปลาย่าง (ไม่จำกัด)
    เย็น : นมสดรสจืด 1 แก้ว

    วันที่ 7  :

    เช้า : ข้าว 1 ทัพพี + ไข่ต้ม 1 ฟอง
    เที่ยง : เกาเหลาลูกชิ้น 1 ชาม
    เย็น : สับปะรด 1 ชิ้น

    สูตรนี้อาจจะดูหนักไปสักหน่อย แต่สาวเบนซ์เธอรับรองว่าได้ผลอย่างแน่นอน ที่สำคัญสาวช่องสามหลายคนก็เคยใช้สูตรนี้มาแล้วหลายคนเลยทีเดียว

    3. สูตรลดความอ้วนของสาวซีแนม

    สำหรับสาวสวยหุ่นอวบอั๋นอย่างสาวซีแนมก็มีวิธีการลดความอ้วนเหมือนกัน ซึ่งวิธีของเธอนั้นสามารถทำให้เธอสามารถลดน้ำหนักไปได้ถึง 20 – 30 กิโลกรัมเลยทีเดียว โดยวิธีที่เธอใช้ก็ไม่ได้ยากอะไร นั่นก็คือ การเข้าฟิตเนส เข้าคลาสเต้นประมาณ 1 ชั่วโมงต่อวัน โดยเข้าทุกวัน ประกอบกับเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ไม่รับประทานของมัน ของทอด ของที่เป็นแป้งหรือรับประทานอาหารที่เป็นโฮลวีตเท่านั้น และรับประทานอาหารที่มีกากใยมากๆ ก็จะช่วยในเรื่องของระบบเผาผลาญได้มากขึ้น อาหารที่เธอแนะนำให้รับประทาน คือ

    สูตรลดความอ้วนของสาวซีแนม

    1. สุกี้น้ำ
    2. เกาเหลาหรือวุ้นเส้นน้ำ ไม่ใส่ลูกชิ้นกับกระเทียมเจียว
    3. น้ำเต้าหู้
    4. โยเกิร์ตรสธรรมชาติหรือวุ้นมะพร้าวราดผลไม้ โรยด้วยลูกเกด

    2. สูตรลดน้ำหนักของสาว Seo in young

    สำหรับสูตรลดความอ้วนนี้ขอเรียกว่า “สูตรลดความอ้วนแบบกล้วย ๆ” ซึ่งสูตรนี้มีข้อดีสำหรับสาวๆ หลายอย่างเลยทีเดียว ทั้งเผาผลาญไขมันรอบเอวและหน้าท้อง หน้าดูเด็กลง และที่สำคัญทำให้หน้าอกของคุณสาวๆ ดูอวบอิ่มขึ้นอีกด้วย โดยมีสูตร ดังนี้

    สูตรลดน้ำหนักของสาว Seo in young
    • มื้อเช้า : กล้วย 1 – 2 ลูก ตามด้วยน้ำอุ่น 2 แก้ว
    • ของว่างตอนสาย กล้วย 1 – 2 ลูก (ถ้าหิวก็รับประทาน ไม่หิวก็ไม่ต้องรับประทาน)
    •  มื้อเที่ยง : รับประทานอาหารเพื่อสุขภาพ อะไรก็ได้ตามใจชอบ แต่ต้องไม่ใช่ฟาสต์ฟู้ด ไม่มัน ไม่เลี่ยน และไม่เน้นแป้ง
    • ของว่างตอนบ่าย กล้วย 1 – 2 ลูก (ถ้าหิวก็รับประทาน ไม่หิวก็ไม่ต้องรับประทาน)
    • มื้อเย็น : รับประทานอาหารเพื่อสุขภาพ อะไรก็ได้ตามใจชอบ แต่ต้องไม่ใช่ฟาสต์ฟู้ดส์ ไม่มัน ไม่เลี่ยน และไม่เน้นแป้ง
    • ของว่างก่อนนอน กล้วย 1 – 2 ลูก (ถ้าหิวก็รับประทาน ไม่หิวก็ไม่ต้องรับประทาน แต่ต้องรับประทานก่อนนอนอย่างน้อย 2 ชั่วโมง)

    ​1. สูตรลดความอ้วนพระราชทานของสมเด็จพระเทพฯ

    สำหรับสูตรพระราชทานนี้มีวิธีการทำคือ ก่อนรับประทานอาหารทุกมื้อต้องดื่มน้ำอย่างน้อย 2 แก้ว งดน้ำตาล น้ำมันหมู แอลกอฮอล์ และของทอดทุกชนิดด้วย โดยในแต่ละวันจะมีเมนูอาหาร ดังนี้

    สูตรลดความอ้วนพระราชทานของสมเด็จพระเทพฯ

    วันที่ 1 :

    เช้า : น้ำผลไม้คั้น หรือโยเกิร์ต 1 ถ้วย
    กลางวัน : ไข่ต้ม 2 ฟอง
    เย็น : สลัดผัก

    วันที่ 2 :

    เช้า : น้ำผลไม้คั้น หรือโยเกิร์ต 1 ถ้วย
    กลางวัน : ไข่ต้ม 2 ฟอง
    เย็น : สลัดผัก

    วันที่ 3 :

    เช้า : กาแฟไม่ใส่น้ำตาล หรือโยเกิร์ต 1 ถ้วย
    กลางวัน : เกาเหลาลูกชั้น 1 ชาม(หมู, เนื้อ)
    เย็น : สลัดผัก

    วันที่ 4 :

    เช้า : น้ำผลไม้คั้น หรือกาแฟดำและขนมปัง 1 แผ่น
    กลางวัน : สลัดผัก และไก่ยาง 1 ชิ้น
    เย็น : โยเกิร์ต 1 ถ้วย

    วันที่ 5 :

    เช้า : น้ำผลไม้คั้น หรือกาแฟไม่ใส่น้ำตาล 1
    กลางวัน : ส้มตำ และไก่ย่าง 1 ชิ้น
    เย็น : สลัดผัก

    วันที่ 6 :

    เช้า : น้ำผลไม้คั้น หรือกาแฟไม่ใส่น้ำตาล 1 ถ้วย
    กลางวัน : ปลานึ่ง หรือ ปลาเผา ไม่จำกัด
    เย็น : สลัดผัก

    วันที่ 7 :

    เช้า : ข้าว 1 ทัพพี และเนื้อ 1 ชิ้น หรือไข่ต้ม 1ฟอง
    กลางวัน : เกาเหลาลูกชั้น 1 ชาม (หมู, เนื้อ)
    เย็น : สับปะรด 1 ชิ้น

    ได้เคล็ดไม่ลับ 10 สูตรลดน้ำหนัก ลดความอ้วนของดารา เซเลปกันไปแล้ว ก็เหลือแต่ลงมือปฎิบัติ อยากหุ่นสวยเป๊ะปัง ก็มีวินัยกับการกิน การออกกำลังกายกันหน่อยนะจ๊าาา...

    เรียบเรียงข้อมูลโดย : เว็บ sukkaphap-d.com


    10 สูตรพอกหน้าขาว กระจ่างใส ไม่ต้องง้อมาส์กราคาแพง

    สูตรพอกหน้าขาว เนียนใส

    ทุกวันนี้บ้านเมืองเรามีมลภาวะฝุ่นควันกันมากมายเหลือเกิน โดยเฉพาะสังคมเมืองด้วยยิ่งแล้วใหญ่ นอกจากพวกฝุ่นควันและมลภาวะเหล่านี้จะไม่ดีมีอันตรายต่อระบบทางเดินหายใจแล้วนั้น ยังเป็นศัตรูตัวร้ายของสาวๆ อย่างเราอีกด้วย เพราะพวกฝุ่นควันเหล่านี้จะทำร้ายผิวใสๆ ของคุณสาวๆ ให้หมองคล้ำไม่น่ามองอีกต่อไป วันนี้เราจึงมี 10 อันดับ สูตรพอกหน้าขาวกระจ่างใสจากไอดอลสาวๆ ที่มีผิวหน้ากระจ่างใสมาฝากกันว่าเขามีวิธีการกันอย่างไร

    วิธีทำให้หน้าขาว เนียนใสด้วย 10 สูตรฮิตพอกหน้า

    สูตรนี้ถือเป็นสูตรพอกหน้าพื้นฐานเลยก็ว่าได้ สำหรับดินสอพองนั้นมีคุณสมบัติช่วยในการดูดซับความมันบนใบหน้า ช่วยดีท็อกซ์สารตกค้างที่เกาะติดอยู่บนผิว ทำให้ผิวหน้ากระจ่างใส ซึ่งแน่นอนว่าสาวๆ คนไหนที่ต้องเผชิญกับมลภาวะในทุกๆ วัน สูตรนี้ก็จะสามารถช่วยสาวๆ ได้อย่างแน่นอน

    สิ่งที่ต้องเตรียม  - ดินสอพอง และน้ำเปล่า

    วิธีการทำ - นำดินสอพองมาผสมกับน้ำเปล่า คนจนกลายเป็นเนื้อครีมข้น จากนั้นนำมาทาให้ทั่วบริเวณใบหน้า เว้นบริเวณรอบดวงตากับริมฝีปาก ทิ้งไว้ประมาณ 15 -20 นาที แล้วจึงค่อยล้างออกให้สะอาด เพียงเท่านี้ สาวๆ ก็จะรู้สึกว่าใบหน้าเกลี้ยงเกลาและนุ่มนวลมากขึ้น

    9. สูตรพอกหน้าขาวกระจ่างใสด้วยข้าวโอ๊ต

    สิ่งที่ต้องเตรียม  - ข้าวโอ๊ต และน้ำเปล่า

    วิธีการทำ - นำข้าวโอ๊ตประมาณ ½ ถ้วยตวง ผสมกับน้ำเปล่าเล็กน้อย คนให้เข้ากันจนข้าวโอ๊ตนิ่มและข้น จากนั้นนำมาพอกให้ทั่วใบหน้า เว้นบริเวณรอบดวงตา ทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำอุ่นให้สะอาดเพียงเท่านี้สาวๆ ก็จะได้ผิวพรรณที่เปล่งปลั่งมากขึ้นที่สำคัญริ้วรอยต่างๆ ก็จะค่อยๆ จางลงอีกด้วย

    8. สูตรพอกหน้าขาวกระจ่างใสด้วยฟักทอง

    สิ่งที่ต้องเตรียม  - ฟักทอง และน้ำเปล่า

    วิธีการทำ - นำฟักทองไปต้มจนสุกแล้วนำมาบดให้ได้เนื้อประมาณ ½ ถ้วยตวง ผสมน้ำเล็กน้อย นำมาพอกให้ทั่วใบหน้า เว้นบริเวณรอบดวงตา ทิ้งไว้ประมาณ 10 – 15 นาที แล้วล้างออกให้สะอาดด้วยน้ำอุ่น เพียงเท่านี้ สาวๆ ก็จะมีผิวหน้าที่เนียนนุ่มเด้งกันเลยทีเดียว เพราะในฟักทองมีสารอาหารกับวิตามินเอซึ่งเหมือนเป็นการเติมอาหารให้กับผิวนั่นเอง

    7. สูตรพอกหน้าขาวกระจ่างใสด้วยกล้วยหอม

    สิ่งที่ต้องเตรียม  - กล้วยหอมสุก

    วิธีการทำ - นำกล้วยหอมสุกมาบดให้ละเอียดเป็นเนื้อ นำมาพอกให้ทั่วใบหน้า ทิ้งไว้ประมาณ 15 นาที แล้วล้างออกให้สะอาด โดยกล้วยหอมมีสรรพคุณในการแก้ไขปัญหาผิวได้หลายอย่าง ทั้งยังช่วยให้ผิวหน้าเนียนนุ่มและกระจ่างใสขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติอีกด้วย

    พอกหน้าขาวด้วยกล้วยหอม

    6. สูตรพอกหน้าขาวกระจ่างใสด้วยด้วยแอปเปิ้ล

    สิ่งที่ต้องเตรียม  - แอปเปิ้ล

    วิธีการทำ - นำแอปเปิ้ลมาปอกเปลือกออกให้หมด จากนั้นนำเนื้อแอปเปิ้ลมาปั่นจนเป็นเนื้อละเอียด แล้วนำมาพอกให้ทั่วใบหน้า ทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที แล้วจึงล้างออกให้สะอาด ซึ่งในผลแอปเปิ้ลจะมีคอลลาเจน กับอิลาสติน สามารถช่วยในการบำรุงผิวหน้าให้กระจ่างใส ไร้ริ้วรอย และยังช่วยให้ผิวของสาวๆ แข็งแรงขึ้น

    สิ่งที่ต้องเตรียม  - โยเกิร์ตรสธรรมชาติ 1 ถ้วย

    วิธีการทำ - นำโยเกิร์ตรสธรรมชาติมาทาให้ทั่วใบหน้า จากนั้นใช้ปลายนิ้วนวดวนๆ อย่างเบามือ ประมาณ 20 นาที แล้วจึงล้างออกด้วยน้ำสะอาด โดยจุลินทรีย์แลคโตบาซิลลัส แลคติค กับวิตามินบีที่อยู่ในโยเกิร์ต มีคุณสมบัติช่วยในการกำจัดสิ่งสกปรกบนรูขุมขน ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวหน้า และช่วยบำรุงผิวให้เนียนกระจ่างใสขึ้น

    4. สูตรพอกหน้าขาวกระจ่างใสด้วยมะเขือเทศกับโยเกิร์ต

    สิ่งที่ต้องเตรียม  - มะเขือเทศบดละเอียด 1 ส่วน และโยเกิร์ตรธรรมชาติ 2 ส่วน

    สูตรพอกหน้าขาวด้วยมะเขือเทศ

    วิธีการทำ - นำมะเขือเทศบดกับโยเกิร์ตรสธรรมชาติมาผสมให้เข้ากันจนเป็นเนื้อเดียว จากนั้นนำมาพอกหน้าทิ้งไว้ประมาณ 15 นาที แล้วจึงล้างออกด้วยน้ำเย็น สูตรนี้จะช่วยในการปรับผิวหน้าให้ขาวกระจ่างใส ช่วยผลัดเซลล์ผิวที่ตายแล้ว ช่วยลดเลือดริ้วรอยกับจุดด่างดำจากสิว และด้วยมะเขือเทศอุดมไปด้วยวิตามินซี ในโยเกิร์ตอุดมด้วยกรดแลคติกจึงช่วยลดความหมองคล้ำจากแสงแดดได้เป็นอย่างดี

    3. สูตรพอกหน้าขาวกระจ่างใสด้วยขมิ้นกับนมสด

    สิ่งที่ต้องเตรียม  - ผงขมิ้น 1 ถ้วย นมสด ¾ ถ้วย

    วิธีการทำ - นำผงขมิ้นและนมสดมาผสมให้เข้าจนเป็นเนื้อเดียวกัน นำมาพอกให้ทั่วใบหน้า เว้นบริเวณรอบดวงตา ทิ้งไว้ประมาณ 15 – 30 นาที แล้วจึงล้างออกให้สะอาด เพียงเท่านี้ก็จะทำให้ผิวหน้านุ่มนวลและกระจ่างใสมากขึ้น

    2. สูตรพอกหน้าขาวกระจ่างใสด้วยน้ำผึ้งกับอบเชย

    สิ่งที่ต้องเตรียม  - น้ำผึ้ง 1 ช้อนชา ผงอบเชย 1 ช้อนชา

    วิธีการทำ - นำน้ำผึ้งผสมกับผงอบเชยคนให้เข้ากัน นำมาพอกให้ทั่วบริเวณใบหน้า ทิ้งไว้ประมาณ 1 ชั่วโมง แล้วจึงล้างออกด้วยน้ำอุ่น น้ำผึ้งกับอบเชยมีคุณสมบัติในการต้านเชื้อแบคทีเรีย สามารถช่วยในการรักษาสิว ทำให้สิวอักเสบหายได้เร็วขึ้น และช่วยในการบำรุงผิวหน้าให้เนียนกระจ่างใสขึ้น

    สูตรนี้เป็นสูตรพอกหน้าขาวใสที่แทบไม่มีใครไม่รู้จัก ที่สำคัญสูตรนี้ส่วนผสมหาง่ายในครัวเรือนและได้ผลเป็นที่หน้าพอใจสุดๆ

    สิ่งที่ต้องเตรียม  - เนื้อมะขามเปียก 1 กำ น้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ และน้ำมะนาว 1 ช้อนชา

    มะขามเปียกพอกหน้าขาว เนียนใส

    วิธีการทำ - นำเนื้อมะขามเปียกล้วนๆ แยกเอากากและเม็ดออกให้หมด ผสมกับน้ำผึ้งและน้ำมะนาวให้เข้าเป็นเนื้อเดียวกัน นำมาพอกให้ทั่วใบหน้า ทิ้งไว้ประมาณ 5 – 10 นาที จากนั้นล้างออกให้สะอาด สูตรนี้จะช่วยขจัดเซลล์ผิวเก่าที่ตายแล้วให้หลุดออกอย่างง่ายดาย ทำให้ผิวหน้าขาวกระจ่างใสขึ้นอย่างเห็นได้ชัด แต่สูตรนี้สาวๆ ต้องเข้าใจก่อนว่า มะขามเปียกและน้ำมะนาวมีรสเปรี้ยวซึ่งมีความเป็นกรดสูง ดังนั้นไม่ควรพอกนานเกินไปหรือบ่อยเกินไป อาจทำให้ผิวของสาวๆ บางได้

    สำหรับสูตรพอกหน้าขาวเหล่านี้สาวๆ สามารถเลือกเอาได้ตามความชื่นชอบและความสะดวก หากสาวๆ ใส่ใจและหมั่นทำอย่างสม่ำเสมอผิวหน้าของสาวๆ ก็จะกระจ่างใสไม่ต้องกังวลเรื่องความหมองคล้ำ แถมไม่ต้องพึ่งมาส์กพอกหน้าราคาแพงๆ อีกต่อไป

    เรียบเรียงข้อมูลโดย เว็บsukkaphap-d.com


    10 อันดับ สูตรขัดหน้าขาวเนียนใส สวยถูกใจวัยปิ๊ง

    สูตรขัดหน้าขาว เนียนใส

    สาวๆ สมัยนี้จะปล่อยให้หน้าหมองคล้ำ ไม่เรียบเนียน ไม่กระจ่างใสเห็นทีจะไม่ได้ เพราะการมีผิวหน้าที่ดี ไม่ต้องขาวจั๊วะแต่เรียบเนียนดูมีสุขภาพดีก็มีชัยไปกว่าครึ่ง แต่อย่างว่าเครื่องสำอางหรือผลิตภัณฑ์ที่ใช้ในการบำรุงผิวหน้าของคุณสาวๆ ก็ช่างราคาสูง ดังนั้นวันนี้เรามีทางเลือกสูตรขัดหน้าขาวมาฝากคุณสาวๆ กัน

    นอกจากขั้นตอนของการล้างทำความสะอาดผิวหน้าและการบำรุงแล้วนั้น “การขัดผิว” ก็ถือเป็นวิธีการอย่างหนึ่งที่สำคัญที่สามารถช่วยผลัดเซลล์ผิวเก่าให้หลุดออกไป และเผยผิวใหม่ที่เรียบเนียนใสได้ ซึ่งเรามี 10 อับดับ สูตรขัดหน้าเนียนใสมาฝากกัน ดังนี้

    วิธีทำให้หน้าขาว เนียนใสด้วย 10 สูตรปัง

    10. สูตรขัดหน้าขาวด้วยเกลือ

    สำหรับสูตรนี้ถือเป็นสูตรที่มีส่วนผสมที่หาง่าย ใกล้ตัว นั่นก็คือ “เกลือ” โดยเพียงแค่นำเกลือป่น น้ำมะนาว และน้ำมันมะกอก มาผสมพอเข้ากัน นำมาขัดให้ทั่วใบหน้าของเราประมาณ 3 – 5 นาที แล้วล้างออกให้สะอาด เท่านี้ก็จะได้ผิวหน้าที่กระจ่างใสขึ้น ชุ่มชื้นขึ้น ที่สำคัญผลัดเซลล์ผิวเก่าออกได้อย่างดี แต่สูตรนี้สาวๆ ต้องระวังอย่าให้เกลือมีความหยาบหรือเม็ดใหญ่ เพราะจะทำให้เกิดการระคายเคืองต่อผิวหน้า และน้ำมะนาวก็มีฤทธิ์เป็นกรด อาจจะกัดผิวหน้าของคุณสาวๆ ได้ หากขัดนานเกินไป

    สูตรขัดหน้าขาว ทำให้เนียนใสด้วยเกลือ

    9. สูตรขัดหน้าขาวด้วยน้ำตาล

    สำหรับสูตรนี้ก็เตรียมส่วนผสมไม่ยากอีกเช่นกัน เพราะส่วนผสมหลักของสูตรนี้ คือ “น้ำตาล” โดยนำน้ำตาลทรายประมาณ 2 ช้อนโต๊ะ ผสมกับโยเกิร์ตรสธรรมชาติ ½ ถ้วย ผสมให้เข้ากัน แล้วนำมาขัดวนให้ทั่วใบหน้าสักพัก แล้วจึงล้างออกให้สะอาด จะทำให้ผิวหน้าของคุณสาวๆ เรียบเนียนและมีผิวที่นุ่มชุ่มชื่นมากขึ้น

    8. สูตรขัดหน้าขาวด้วยผงถั่วเขียว

    สูตรนี้ฟังดูอาจจะงงๆ สักหน่อยว่าอะไรคือผงถั่วเขียว แต่ไม่ต้องกังวล คุณสามารถไปหาซื้อผงถั่วเขียว 100 % ได้ตามร้านสะดวกซื้อ หลังจากนั้นนำมาผสมกับน้ำผึ้ง หรือโยเกิร์ต หรือน้ำเปล่าก็ได้ ตามแต่สะดวก อัตราส่วน 1 : 1 ผสมให้เข้ากัน แล้วนำไปขัดให้ทั่วใบหน้า แล้วจึงล้างออกให้สะอาด เพียงเท่านี้ผิวหน้าของคุณก็จะเนียนใสขึ้น แต่สูตรสำหรับคนที่เป็นสิวอักเสบห้ามขัดหรือนวดเด็ดขาด ให้พอกแทนเพราะจะทำให้สิวยิ่งอักเสบมากขึ้น

    7. สูตรขัดหน้าขาวด้วยน้ำผึ้ง

    สำหรับสูตรนี้ใช้เพียง “น้ำผึ้ง” อย่างเดียวเท่านั้นก็สวยได้ โดยนำน้ำผึ้งประมาณ 1 – 2 ช้อนโต๊ะ มาทาให้ทั่วใบหน้าแล้วขัดวนเบาๆ ให้ทั่วใบหน้าประมาณ 5 – 10 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำอุ่นให้สะอาด สูตรนี้จะช่วยให้ผิวหน้าของคุณสาวๆ เนียนนุ่ม อ่อนเยาว์ขึ้น และช่วยดูดซับสิ่งสกปรกออกจากผิวหน้าได้ดี แต่ถ้าสาวๆ คนไหนมีสิวอักเสบให้เว้นการขัดบริเวณนั้น เพราะจะทำให้อักเสบมากขึ้น

    น้ำผึ้งขัดผิวหน้าขาว เนียนใส

    6. สูตรขัดหน้าขาวด้วยมะนาวกับน้ำผึ้ง

    สูตรนี้ใช้ส่วนผสมหลักๆ เพียงสองอย่าง คือ “มะนาวกับน้ำผึ้ง” โดยเตรียมน้ำมะนาวสดไว้แล้วเติมน้ำผึ้งลงไป คนส่วนผสมให้เข้ากัน นำมาทาให้ทั่วใบหน้าพร้อมกับขัดเบาๆ เมื่อเสร็จแล้วให้ล้างออกได้ทันที เมื่อล้างหน้าคุณจะรู้สึกเลยว่าผิวหน้าชุ่มชื่นขึ้นอย่างเห็นได้ชัด และช่วยผลัดเซลล์ผิวเก่าเผยผิวใหม่ที่สดใสขึ้น แต่สูตรนี้ทำอาทิตย์ละครั้งก็เพียงพอแล้ว เพราะน้ำมะนาวอาจจะกัดผิวหน้าให้บางและเกิดการระคายเคืองได้

    5. สูตรขัดหน้าขาวด้วยข้าวโอ๊ต

    ข้าวโอ๊ต นอกจากเราจะสามารถนำมารับประทานได้แล้วนั้น เรายังสามารถนำมาใช้ขัดหน้าได้อีกด้วย เพียงแค่นำข้าวโอ๊ตมาผสมกับน้ำเปล่าให้เข้ากัน จากนั้นบีบน้ำออกให้เหลือแต่ข้าวโอ๊ตนิ่มๆ แล้วนำมาขัดให้ทั่วใบหน้า เมื่อขัดทั่วแล้วให้พอกทิ้งไว้สักครู่แล้วจึงล้างออกให้สะอาด เพียงเท่านี้ก็จะเผยผิวหน้าที่เนียนนุ่มชุ่มชื่น ความมันบนใบหน้าลดลง และขจัดเซลล์ผิวเก่าออกได้

    สูตรนี้เป็นอีกสูตรหนึ่งที่น่าสนใจและเตรียมส่วนผสมง่ายมาก ๆ เพียงแค่นำมะเขือเทศสดมาล้างให้สะอาดแล้วผ่าครึ่งผล จากนั้นนำมาขัดให้ทั่วใบหน้า หรืออาจจะนำมะเขือเทศไปจุ่มน้ำตาลทรายก่อนแล้วนำมาขัดก็ได้ เมื่อขัดเสร็จให้ล้างหน้าออกให้สะอาด จะช่วยให้ผิวหน้ากระจ่างใส ขจัดเซลล์ผิวเก่าให้หลุดออก ลดความหมองคล้ำบนใบหน้า ผิวหน้าชุ่มชื้นสดใสขึ้น

    สำหรับสูตรนี้การใช้กากกาแฟขัดหน้า สาวๆ หลายคนอาจจะเคยทำมากันแล้ว แต่วันนี้เรามีสูตรหนึ่งมานำเสนอ คือ นำกากกาแฟ น้ำผึ้ง และนมสดผสมให้เข้ากัน แล้วนำมาทาให้ทั่วใบหน้าและขัดวนเบาๆ จากนั้นพอกทิ้งไว้ 15 – 20 นาทีแล้วจึงล้างออกให้สะอาด จะช่วยให้ผิวขาวใสและนุ่มลื่นยิ่งขึ้น

    กากกาแฟขัดผิว

    2. สูตรขัดหน้าขาวด้วยผงพิเศษ

    ของดีมาตั้งแต่รุ่นไหนๆ อย่าง “ผงพิเศษ” สามารถนำมาขัดหน้าและทำให้ผิวเนียนใสได้แบบสุดๆ โดยนำผงพิเศษประมาณ 3 ช้อนชา น้ำมะนาว 1 – 2 ช้อนชา ผสมกันจนเป็นเนื้อครีมเหลว แล้วนำมาทาให้ทั่วใบหน้า ขัดวนเบาๆ ประมาณ 1 – 2 นาที พอกทิ้งไว้ประมาณ 2 – 3 นาที แล้วจึงล้างออกให้สะอาด ทำสัปดาห์ละ 1 – 2 ครั้งก็พอ โดยสูตรนี้จะช่วยขจัดแบคทีเรียที่อยู่ตามรูขุมขน ลดรอยดำจากสิว ผิวหน้าจะขาวใสขึ้นอย่างเห็นได้ชัด สูตรนี้แนะนำให้ทำช่วงเวลากลางคืน

    สำหรับสูตรนี้ถือเป็นสุดยอดของสูตรขัดหน้าขาว โดยขั้นตอนการทำ คือ นำมะขามเปียกมาแช่ในน้ำอุ่นเพื่อให้เนื้อมะขามเปียกอ่อนตัวลง จากนั้นกรองเอาแต่เนื้อมะขามเปียกแล้วผสมกับน้ำผึ้งประมาณ 2 ช้อนโต๊ะ ให้เข้ากัน นำมาทาให้ทั่วใบหน้าแล้วขัดเบา ๆ ประมาณ 5 นาที พอกทิ้งไว้อีก 10 นาที แล้วจึงล้างออกให้สะอาด สูตรนี้จะช่วยผลัดเซลล์ผิวที่เสื่อมสภาพให้หลุดออกไป จุดด่างดำต่างๆ และรอยฝ้าลดเลือนลง ผิวหน้าขาวเนียนใส แลดูอ่อนกว่าวัยอีกด้วย

    มะขามเปียกขัดผิวขาว

    จาก 10 สูตรขัดหน้าขาวเนียนใสที่นำมาฝากกันล้วนแต่เป็นสูตรที่เตรียมส่วนผสมไม่ยากเลย ดังนั้นคุณสาวๆ คนไหนสนใจสูตรไหนก็ลองทำตามกันดู ที่สำคัญการดูแลเอาใจใส่และความสม่ำเสมอในการทำก็มีส่วนทำให้ผลลัพธ์เป็นที่น่าพึงพอใจยิ่งขึ้น     

    เรียบเรียงข้อมูลโดย เว็บsukkaphap-d.com


    Intermittent Fasting (IF)...กินและอดเป็นเวลา ช่วยลดน้ำหนักได้

    วิธีลดน้ำหนักแบบ if-Intermittent Fasting

    เคยได้ยินคำว่า “ทำ IF” กันบ้างไหมเอ่ย เชื่อว่าสาวๆ ที่กำลังหาข้อมูลเกี่ยวกับลดน้ำหนักหลายคนต้องเคยได้ยินเกี่ยวกับการไดเอทวิธีนี้กันมาบ้างแน่นอน แต่อาจยังไม่รู้รายละเอียดที่ชัดเจนว่าต้องทำอะไร? ยังไง? หรือมีข้อดี--ข้อเสียอย่างไรบ้าง?  อีกอย่างคือหลักการกินแบบ IF นั้นมีทั้งช่วงกินและอดอาหาร แต่จริงๆแล้วคนเราไม่ควรอดอาหารไม่ใช่หรือ? ทำไมกิน IF ถึงอดอาหารได้? แล้วมันไม่ส่งผลเสียต่อร่างกายหรือ? คิดว่าคำถามจะตามมาอีกมากมาย ดังนั้นวันนี้เราจะพาไปหาคำตอบกันค่ะ ไปกันเล้ยย

    การลดน้ำหนักแบบ Intermittent Fasting (IF) คืออะไร

    เทรนด์การลดน้ำหนักนั้นมีการเปลี่ยนอยู่ตลอดเวลา ปัจจุบันนี้นอกจากการลดน้ำหนักแบบคีโตเจนิคไดเอทจะเริ่มเป็นที่นิยมแล้ว การลดแบบ Intermittent Fasting (IF) ก็เริ่มจะเป็นที่นิยมเช่นเดียว แต่ว่ามันไม่ใช่แนวคิดที่ใหม่อะไร แต่เป็นแนวคิดที่ใช้ลดความอ้วนกันมานานกว่า 10 แล้ว เพียงแต่พึ่งมาเป็นที่รู้จักใน 1-2 ปีมานี้เอง ถูกคิดค้นขึ้นโดยทีมแพทย์ มีหัวหน้าทีมคือ Dr.Joseph Mercola ซึ่งแนวคิดของการลดน้ำหนักแบบ IF คือ กินและอดอาหารเป็นช่วงเวลา โดยช่วงกิน(Feeding) จะเป็นช่วงที่สามารถกินอะไรก็ได้และกินกี่มื้อก็ได้ แต่อย่างไรก็ตามสิ่งที่กินควรเป็นอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย ส่วนช่วงอด(Fasting) จะเป็นช่วงที่เราต้องอดอาหาร จะกินได้เฉพาะน้ำเปล่า ชาหรือกาแฟที่ไม่เติมอะไรลงไปเลย แคลอรี่ต้องเป็นเป็นศูนย์เท่านั้น

    แต่จะบอกก่อนว่าการอดอาหารแบบ IF นั้นไม่ใช้อดแบบผิดวิธี เพราะว่ายังต้องกินอาหารให้ครบถ้วนและมีปริมาณที่เหมาะสมตามที่ร่างกายต้องการ ที่สำคัญคือควรทำควบคู่ไปกับการออกกำลังกายด้วย

    กลไกการทำงานของ Intermittent Fasting (IF)

    เมื่อเราอดอาหาร ระดับอินซูลินในร่างกายจะต่ำลง ซึ่งมันจะไปกระตุ้นให้หลั่งโกรทฮอร์โมนมากยิ่งขึ้น ซึ่งฮอร์โมนตัวนี้แหละที่จะไปเร่งการเผาผลาญไขมัน เมื่อเราอดอาหารแบบ IF ร่างกายจึงดึงไขมันออกมาใช้เป็นพลังงานเพิ่มมากขึ้น ทำให้มีไขมันสะสมน้อยลง นี่เป็นเหตุว่าทำไมต้องทำควบคู่กับการออกกำลังกาย โดยเฉพาะการเวทเทรนนิ่ง เพราะจะได้เสริมสร้างกล้ามเนื้อให้มีมากขึ้นและทดแทนไขมันที่หายไป กล้ามเนื้อจะใหญ่ขึ้นและกระชับ แต่ถ้าหากทำ IF แล้วไม่ออกกำลังกาย เราก็จะผอม แต่จะผอมแบบเผละๆ เนื้อนิ่มย้วยเหลว แทนที่น้ำหนักลงแล้วจะได้สวมใส่เสื้อผ้าสวยๆ กลับต้องมาปิดบังผิวหนังย้วยๆ อย่างน่าเสียดาย

    ถึงแม้จะมีช่วงเวลาที่ต้องอดอาหาร แต่หลักการสำคัญของ IF คือ ต้องกินให้พอ และมีสารอาหารครบถ้วน แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าพอ? ก็ต้องคำนวณค่า BMR ของตัวเอง ค่านี้คือค่าพลังงานพื้นฐานที่ร่างกายต้องการเพื่อดำรงชีวิต มักจะอยู่ที่ราวๆ 1,300-1,700 ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย แต่ว่าจริงๆ แล้วคนเรามีกิจกรรมในชีวิตประจำวันที่แตกต่างกัน ดังนั้นโดยมากแล้วจึงต้องการพลังงานมากกว่าค่า BMR ค่ะ เรียกกันอีกอย่างว่า ค่า TDEE คนที่จะลดน้ำหนักควรกินตามค่าพลังงานตัวหลังมากกว่า โดยยึดหลักกินให้น้อยกว่าใช้ เช่นถ้าค่าTDEE = 1,700 Kcal ก็กิน 1,600 Kcal เป็นต้น ค่าพลังงานทั้งสองนี้สามารถหาโปรแกรมคำนวณได้ตามอินเทอร์เน็ตทั่วไปเลยค่ะ

    ประเภทการกินแบบ Intermittent Fasting (IF)

    • Lean gains Diet : สูตร 8:16 เป็นสูตรที่ได้รับความนิยมมากที่สุด โดยจะกินอาหาร 8 ชั่วโมงและอดอาหาร 16 ชั่วโมง แต่ถ้าใครเพิ่งเริ่มต้นควรเริ่มที่ กิน 10 ชั่วโมงและอด 14 ชั่วโมงก่อน เมื่อร่างกายปรับตัวได้แล้วค่อยขยับไปเป็น 8:16 ส่วนช่วงเวลาที่ต้องการกินและอดนั้นสามารถกำหนดได้ตามใจเราเลยค่ะ เนื่องจากกิจวัตรประจำวันของแต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน เช่น ทำงานประจำตอนกลางวัน ช่วงกินคือ 07:00-15:00 น. นอกนั้นเป็นช่วงอด เป็นต้น
    Intermittent Fasting (IF) คืออะไร
    • Fast 5 Diet : สูตร 5:19 เป็นสูตรสำหรับสายฮาร์ดคอร์เพราะกินได้แค่ 5 ชั่วโมงและต้องอดอาหารยาวนานถึง 19 ชั่วโมง
    • Eat Stop Eat Diet : สูตรอดอาหาร 1-2 วัน/สัปดาห์ สูตรนี้จะต้องอดอาหาร 1-2 วัน ส่วนวันที่เหลือกินได้ตามปกติ แต่วิธีนี้ค่อนข้างมีข้อเสียเยอะ เพราะเมื่ออดอาหาร 24 ชั่วโมงทำให้วันต่อมาเราจะหิวมากกว่าปกติ อาจจะกินมากขึ้น หรือารมณ์แปรปรวณ เป็นต้น
    • 5:2 Diet สูตรนี้คล้ายกับสูตรข้างบน คือ 5 วัน อด 2 วัน แต่ที่อดนั้นไม่ใช่อดทั้งวันแบบ Eat Stop Eat นะ เพียงแต่ต้องกินให้ต่ำกว่า 600 แคลอรี่ โดยจะกินสลับวันกันหรืออดติดกันทั้ง 2 วันก็ได้
    • The Warrior Diet คือรูปแบบการกินอาหารที่จะอดอาหารในตอนกลางวัน ดื่มเฉพาะน้ำเปล่า และมากินแบบจัดหนักเพียง 1 มื้อในตอนกลางคืน
    • Alternate Day Fasting : ADF จะคล้ายกับวิธี 5:2 Diet เพียงแต่ฮาร์ดคอร์กว่า เพราะต้องกินและอดอาหารแบบวันเว้นวัน ไม่ใช่แค่ 2วันเท่านั้น แต่อย่างไรก็ตามในวันที่อดก็ยังสามารถกินได้อยู่ เพียงแต่ต้องกินอาหารที่มีพลังงาต่ำและกินให้น้อยที่สุด

    ข้อดีของ Intermittent Fasting (IF)

    1. เป็นวิธีการลดน้ำหนักที่ช่วยฝึกสมองและไม่เคร่งเครียดมากเกินไป เพราะการฝึกร่างกายให้ได้รับอาหารตามเวลานั้นเป็นแนวทางการฝึกฝนสมองอย่างหนึ่ง อีกทั้งยังช่วยให้คนเราได้คิดว่า ควรจะต้องกินอะไร จึงจะช่วยให้รู้สึกอิ่มนาน ไม่หิวมากเกินในช่วงที่ต้องอดอาหาร และเมื่อถึงเวลาที่ต้องอดอาหาร ไม่จำเป็นต้องอดไปตลอด มีการกำหนดสำหรับการกินอาหาร ซึ่งเป็นการกินที่ค่อนข้างฟรีสไตล์ จึงทำให้ผู้ลดน้ำหนักนั้นไม่รู้สึกเคร่งเครียดมากนัก

    2. ลดน้ำหนักได้จริง เพราะร่างกายจะไปดึงไขมันที่สะสมอยู่ตามร่างกายมาใช้นั่นเอง

    3. กินได้ตามปกติ เป็นการไดเอทที่ให้อิสระเรื่องการกินมากที่สุดแล้ว จะกินอะไรก็ได้ กินกี่มื้อก็ได้ เพียงแต่ต้องอยู่ในเวลาที่กำหนดเท่านั้น ซึ่งมันย่อมยุ่งยากน้อยกว่าการกินคลีนหรือกินแบบคีโตเจนิค แต่ถ้าต้องการใช้หลายวิธีรวมกัน จะเอาเทคนิคการกินแบบอื่นมาผสมผสานกับการลดน้ำหนักวิธีนี้ก็ได้เช่นกัน

    4. รองรับพฤติกรรมการกินที่หลากหลาย เพราะมีหลายสูตรให้เลือกใช้ จะอดในตอนกลางวันก็ได้ หรือตอนกลางคืนก็ได้ คนที่ไม่มีเวลากินบ่อยก็เหมาะสำหรับสูตร The Warrior Diet หรือใครที่ทำงานประจำก็ใช้สูตร 8:16 ถ้าจัดการเวลาไม่ได้จะใช้สูตร 10:14 ก็ไม่มีปัญหา

    5. ง่ายต่อการสร้างกล้ามเนื้อ เพราะเมื่อไขมันถูกกำจัดไปมากแล้ว กล้ามเนื้อก็จะถูกสร้างได้ง่ายมากขึ้น

    ข้อเสียของ Intermittent Fasting (IF)

    1. ระบบการทำงานของร่างกายแปรปรวน โดยเฉพาะช่วงแรกๆ ที่เริ่มกิน อาจจะรู้สึกอ่อนเพลีย สมองช้า การตัดสินใจไม่เฉียบคมแต่อาการเหล่านี้จะดีขึ้นเมื่อร่างกายปรับตัวได้

    2. ไม่เหมาะกับผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น ความดันโลหิตต่ำ เบาหวาน เพราะมันจะทำให้การควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดผิดปกติสำหรับผู้หญิง รวมทั้งไม่เหมาะกับผู้ที่กำลังตั้งครรภ์ด้วย

    3. เหมาะกับผู้ชายมากกว่า เพราะการกินแบบ IF อาจทำให้ฮอร์โมนเพศหญิงมีความผิดปกติจนประจำเดือนมาไม่สม่ำเสมอได้

    4. บางสูตรอาจมีข้อเสียมากกว่าข้อดี เช่น สูตรที่ต้องกินอาหารแค่มื้อดึกมื้อเดียว อาจทำให้ท้องอืด อาหารไม่ย่อยและนอนไม่หลับในตอนกลางคืนได้ หรือสูตรที่ต้องอดอาหาร อาจมีผลต่อระบบเผาผลาญของร่างกาย ดังนั้นการกินแบบ IF ควรทำแบบค่อยเป็นค่อยไปจะดีที่สุด

    สรุปได้ว่าการกินแบบ Intermittent Fasting คือหลักการกินแบบอาหารที่กินสลับกับอด โดยช่วงที่กินนั้นสามารถกินอะไรก็ได้และกินกี่มื้อก็ได้ ส่วนช่วงอดนั้นกินได้แค่เครื่องดื่มที่ไม่มีแคลอรี่เท่านั้น หากทำถูกวิธีและทำควบคู่ไปกับการออกกำลังกายก็จะช่วยลดน้ำหนักได้จริง แต่มันอาจจะไม่เหมาะกับบางคนและอาจจะไม่ใช่วิธีที่ยั่งยืนมากนัก เพราะหลักเกณฑ์ที่แท้จริงของการลดน้ำหนักก็คือ ควบคุมพลังงานให้รับเข้าน้อยกว่าพลังงานที่ร่างกายนำออกไปใช้ ดังนั้นหากลองใช้วิธีนี้แล้วเวิร์ค พอใจกับผลที่ได้รับและสามารถทำได้แบบต่อเนื่องก็ทำต่อไปได้ แต่ถ้าใครทำแล้วไม่มีความสุข รู้สึกเครียด ฝืนมากจนเกินไปก็แนะนำให้เปลี่ยนไปใช้วิธีลดน้ำหนักแบบอื่นที่เหมาะสมกับตัวเองมากกว่า เพราะนอกจากจะช่วยให้ลดน้ำหนักได้จริงๆ แล้ว ยังทำให้มีความสุขในระหว่างที่กำลังลดด้วยค่ะ

    เรียบเรียงข้อมูลโดย เว็บsukkaphapd-d.com


    อยากผอม ต้องทำไง?...กับแนวทางการลดน้ำหนักฉบับมือใหม่หัดทำ

    อยากผอม ต้องทำไง

    “เคยไหมที่อีกไม่กี่วันมีงานสำคัญ ต้องไปรื้อชุดสวยมาใส่ ปรากฏว่า ยัดยังไงก็ไม่เข้า” นอกจากชุดใส่ไม่ได้แล้ว เชื่อว่าหลายคนยังมีอาการอื่นอีก ไม่ว่าจะเป็นเหนื่อยหอบได้ง่าย ป่วยบ่อย รู้สึกไม่แข็งแรงเอาเสียเลย ผิวหนังก็นิ่มเหลวไม่กระชับ อยากใส่ชุดสวยๆดูบ้างก็ใส่ไม่ได้ ทั้งหมดนี่ร่างกายกำลังเตือนเราอยู่ว่า “เราอ้วนแล้วนะ” ถ้าขืนไม่ลงมือทำอะไรสักอย่างสุขภาพต้องแย่แน่ๆ พอมาถึงนี่ ความคิดที่จะลดน้ำหนักเริ่มแวบมาในหัว แต่ว่าไม่เคยลดมาก่อนเลย จะเริ่มยังไงดี ถึงแม้ว่าการลดน้ำหนักจะเป็นเรื่องที่ค่อนข้างยุ่งยากสำหรับมือใหม่ แต่วันนี้เราได้รวบรวมข้อมูลที่เกี่ยวกับการลดน้ำหนักแบพื้นฐานมาฝากกันค่ะ ขอแค่มีแรงใจแล้วก็ไปลุยกันเล้ยยย

    ต้องรู้จักร่างกายตัวเอง

    ก่อนจะเริ่มลดน้ำหนักด้วยวิธีการใดๆก็ตาม สิ่งแรกที่เราต้องรู้คือ “เราอ้วนมากแค่ไหน” นั่นเอง ทำได้โดยการชั่งน้ำหนัก วัดสัดส่วนทั้งหมดโดยเฉพาะรอบเอว รอบเอวในคนหุ่นปกติจะต้องไม่เกินส่วนสูงหารด้วยสอง ถ้าเกินกว่านั้นคือกำลังอ้วนลงพุงแล้ว และยังต้องรู้เกี่ยวกับพลังงานที่ตัวเองควรจะได้รับในแต่ละวันด้วย ซึ่งจะมีกันอยู่ 2 ชนิดคือ BMR และ TDEE สำหรับค่าตัวแรกนั้นจะบ่งบอกถึงพลังงานพื้นฐานที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต และค่าเฉลี่ยจะอยู่ที่ประมาณ 1,300-1,700 ขึ้นอยู่กับเพศ อายุและความแตกต่างทางด้านร่างกาย ส่วนค่าตัวหลังนั้นจะคำนวณจากกิจกรรมที่ทำในชีวิตประจำวันด้วย ค่าที่ได้จึงเป็นพลังงานที่ควรได้รับต่อวัน สำหรับผู้หญิงเฉลี่ยอยู่ที่ 1,600 Kcal ส่วนผู้ชายอยู่ที่ 2,000 Kcal แต่ถ้าออกกำลังกายหนักๆหรือเป็นผู้ใช้แรงงาน ก็อาจจะต้องการพลังงานมากถึง 2,400 Kcal ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นข้อมูลที่จำเป็นต้องรู้ เพื่อที่จะได้นำมาใช้เป็นแนวในการลดน้ำหนักอย่างถูกต้องต่อไป

    หาแหล่งข้อมูลที่ถูกต้อง

    สำหรับมือใหม่ นี่ก็เป็นอีกเรื่องที่จำเป็นมาก เพราะมันจะเป็นตัวกำหนดเลยว่าการออกกำลังกายของคุณจะไปในทิศทางใด  ทำได้ถูกต้องหรือไม่ เพราะด้วยความที่เพิ่งเริ่ม จึงยังไม่รู้อะไรเลย การลดน้ำหนักแบบไม่รู้ข้อมูลที่ถูกต้องนอกจากจะทำให้ลดน้ำหนักไม่เป็นผลสำเร็จแล้ว ยังอาจส่งผลกระทบอย่างอื่นต่อร่างกายได้อีกด้วย สำหรับแหล่งข้อมูลเกี่ยวกับการลดน้ำหนักนั้นมีอยู่เยอะมาก สามารถหาได้ตามสื่อโซเชียลมีเดียทั่วไปได้เลย แต่ก่อนจะตัดสินใจทำตาม ก็ต้องศึกษามามากพอสมควรและมั่นใจแล้วว่าทำตามแล้วจะไม่มีผลเสียใดๆเกิดขึ้น

    สุดยอดเคล็ดลับสำหรับมือใหม่ในการลดน้ำหนัก

    1. อย่าหักดิบ เข้าใจว่ามันคือการที่เราอยากเปลี่ยนแปลงตัวเอง แต่อย่าคึกคักมากเกินไปจนเคร่งเครียด พยายามบังคับตัวเองไม่ให้ไปกินอะไรที่ไม่ควรกิน หรือคิดว่าตัวเองต้องกินอาหารคลีนไปตลอดชีวิต สุดท้ายก็เครียดจัดจนอาจจะตบะแตกได้ ทีนี้ละกลับมากินหนักกว่าเดิมอีก อยากจะบอกว่าถึงจะลดน้ำหนัก แต่ก็ยังสามารถกินอาหารพวกนั้นได้อยู่ เพียงแค่ลดปริมาณลงและเว้นช่วงกินให้ห่างขึ้น พอห่างมากเข้าก็จะไม่อยากกินไปเอง

    2. อย่าอดอาหาร หากเราเข้าใจตรงกันว่าความอ้วนคือการที่ร่างกายอุดมไปด้วยไขมันแล้วละก็ จะรู้ว่าการอดอาหารไม่ได้ช่วยให้ผอม ถึงแม้บางคนจะอยากแย้งขึ้นมาว่า ก็เคยอดอาหารแล้วผอมลงจริงนี่นา ถูกค่ะ มันดูผอมลง แต่จริงๆแล้วสิ่งที่ร่างกายเสียไปนั้นคือน้ำและกล้ามเนื้อมากกว่า เพราะไขมันนั้นจัดเป็นพลังงานสำรอง จึงเป็นส่วนที่ร่างกายจะดึงออกมาใช้ช้าที่สุด ดังนั้นต่อให้อดอาหารหนักมาก ไขมันก็จะยังรักและอยู่กับคุณต่อไป ยิ่งอดมากยิ่งระบบเผาผลาญยิ่งพัง อัตราการสะสมไขมันอาจจะมากกว่าเดิม เพราะว่าร่างกายกำลังปรับตัวเพื่อให้อยู่รอด (เนื่องจากเข้าใจไปเองว่าเรากำลังอดอยาก) ทีนี้พอเรากลับมากินตามปกติ น้ำหนักก็จะกลับมาพรวดๆเลยทีเดียว

    3. ขยับตัวให้มาก การออกกำลังกายไม่จำเป็นต้องไปวิ่งในสวนสาธารณะหรือไปยกเวทที่ฟิตเนสทุกครั้ง เพราะเราสามารถออกกำลังกายได้ตลอดเวลา ถึงแม้ว่าอยู่บ้านหรืออยู่ที่ทำงานก็ตาม เพียงแค่เราพยายามเคลื่อนไหวร่างกายให้มากขึ้น เช่น เดินขึ้นบันไดแทนการใช้ลิฟต์ วิ่งแทนการเดิน เป็นต้น หากอยู่บ้านก็หากิจกรรมอื่นทำเพื่อไม่ให้ตัวเองต้องอยู่เฉยๆ เช่น ทำงานบ้าน รดน้ำต้นไม้ พาสัตว์เลี้ยงไปเดินเล่น เป็นต้น กิจกรรมเหล่านี้ล้วนกระตุ้นให้ร่างกายมีการเผาผลาญมากขึ้น เหมาะสำหรับมือใหม่ เพียงแต่ว่าหากเราออกแรงน้อย เราก็ต้องใช้เวลานานหน่อย แต่ถ้าออกกำลังกายหนักขึ้นก็ปรับเวลาลดลงเป็นสัก 40 นาทีก็พอค่ะ

    ทำงานบ้าน ออกกำลังกาย อยากผอม

    4. อย่าออกกำลังกายหักโหม การออกกำลังกายเป็นเรื่องดี แต่ออกหนักเกินไปนั้นไม่ดีแน่นอน เพราะอาจจะเกิดอาการโอเวอร์เทรนนิ่งได้ ซึ่งมันก็จะทำให้รู้สึกเหนื่อย อ่อนเพลียไร้เรี่ยวแรงจนไม่อยากจะไปทำอะไร พยายามเริ่มต้นอย่างช้าๆแต่ต่อเนื่องดีกว่าค่ะ ไม่ต้องเร่งรีบหรือนับคืนนับวันเพื่อให้น้ำหนักลงเร็วๆ อย่าไปเคร่งเครียดหรือโฟกัสที่เป้าหมายมากจนกดดันตัวเอง แค่พยายามทำให้ดีขึ้นในทุกวันก็พอ แม้จะดีขึ้นแค่เล็กน้อยก็ตาม

    5. ตั้งเป้าหมายขนาดเล็กก่อน เข้าใจว่าอยากมีรูปร่างที่ดี แต่สมมติถ้าน้ำหนักอยู่ที่ 90 กิโลกรัม จะลดให้เหลือ 60 กิโลกรัมภายใน 1-2 เดือนมันก็ไม่ได้อยู่แล้ว มันเกินลิมิตที่ร่างกายจะรับได้ การตั้งเป้าหมายแบบนี้นอกจากไม่ส่งผลดีต่อการลดน้ำหนักแล้ว ยังบั่นทอนกำลังใจอีกด้วย ดังนั้นเปลี่ยนมาเป็นตั้งเป้าหมายขนาดเล็กก่อน จะช่วยให้ไม่กดดันตัวเองมากเกินไป เช่น วิ่ง 2 กิโลเมตร ทานอาหารคลีน1 มื้อต่อสัปดาห์ งดดื่มน้ำอัดลม 3 วัน เป็นต้น เมื่อเราทำตามเป้าหมายขนาดเล็กได้สำเร็จ จะรู้สึกกำลังใจมากขึ้น และพร้อมจะทำตามเป้าหมายที่ยากขึ้นต่อไป

    6. เลือกกินให้เป็น อาหารเป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุดในการลดน้ำหนัก การเลือกกินจึงเป็นเรื่องจำเป็น โดยให้ความสำคัญกับอาหารที่ดีต่อร่างกาย พยายามทำอาหารทานเอง เพราะเราสามารถจำกัดวิธีการและเครื่องปรุงได้ ทานอาหารให้ครบทุกมื้อ ไม่จำเป็นต้องงดมื้อใดมื้อหนึ่ง เพียงแค่ควบคุมปริมาณให้เหมาะสมเท่านั้น หากใครอยากเพิ่มกล้ามเนื้อ จะกินอาหาร 4-5 มื้อก็ยิ่งดีค่ะ ส่วนอาหารที่ควรหลีกเลี่ยง เช่น อาหารรสจัด ของมัน ของทอด อาหารที่มีโซเดียมสูง น้ำอัดลม น้ำผลไม้กล่อง อาหารฟาสฟู้ดส์ อาหารแปรรูป เป็นต้น ในระยะแรกอาจจะรู้สึกยากสักหน่อย แต่นานๆไปจะเริ่มชินและไม่อยากกินไปเอง

    7. ดื่มน้ำให้มากๆ น้ำมีผลต่อการลดน้ำหนักมาก เพราะน้ำคือส่วนประกอบหลักในร่างกาย เมื่อได้รับน้ำเพียงพอ กระบวนการต่างๆในร่างกายจะทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ใครที่กลัวว่าดื่มน้ำเยอะแล้วจะบวมน้ำ นั่นเป็นความคิดที่ผิดมากค่ะ เพราะจริงๆแล้ว การดื่มน้ำน้อยต่างหากที่ทำให้บวมน้ำ ใช่แล้วค่ะ คุณอ่านถูกต้องแล้ว นั่นก็เพราะว่าเมื่อดื่มน้ำน้อยเกินไป ร่างกายจะคิดว่ากำลังอยู่ในภาวะขาดแคลนน้ำดื่ม จึงเอาตัวรอดด้วยการลดอัตราขับน้ำออกไป น้ำก็คั่งสะสมอยู่ในร่างกาย จึงทำให้บวมน้ำนั่นเอง

    การลดน้ำหนักเป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลา ไม่ว่าจะมือใหม่หรือมือเก่า สิ่งที่ต้องมีคือความอดทนและวินัย เพราะการลดน้ำหนักแบบถูกต้องนั้น มันจะไม่ลดแบบฮวบฮาบอยู่แล้ว แต่จะลดอย่างช้าๆ โดยที่ร่างกายค่อยๆเปลี่ยนไปทั้งภายในและภายนอก สุขภาพจะดีขึ้นน้ำหนักจะลดลง แต่ในบางรายที่ไม่ได้อ้วนมาก น้ำหนักอาจจะไม่ลดลงมากนัก แต่ไม่อยากให้ไปใส่ใจตัวเลขบนตาชั่งมากเกินไป ควรหันไปสังเกตพวกสัดส่วนของตัวเองมากกว่าว่ามันเปลี่ยนแปลงไปบ้างหรือไม่ ลองสวมชุดเก่าๆ ดู หรือสอบถามจากคนใกล้ชิดก็ได้ การจะลดน้ำหนักได้เป็นผลสำเร็จนั้นต้องอาศัยการปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นความสุขในระหว่างทางจึงเป็นเรื่องสำคัญมาก พยายามหาแนวทางการลดน้ำหนักที่เหมาะสมกับตัวเองที่สุด และอย่าเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับใคร แข่งกับตัวเองก็พอแล้ว หากสำรวจดูแล้วยังมีจุดไหนที่ยังทำได้ไม่ดีก็ปรับเปลี่ยนให้ดีขึ้น การลดน้ำหนักไม่ใช่ทำให้มีรูปร่างที่ดีอย่างเดียวเท่านั้น แต่มันยังให้ได้สุขภาพที่แข็งแรงตามมา อีกทั้งยังช่วยให้รักตัวเองมากขึ้น มีความมั่นใจในรูปร่างตัวเองค่ะ

    เรียบเรียงข้อมูลโดย เว็บsukkaphap-d.com


    พุงหาย แต่นมไม่หด...ลดน้ำหนักอย่างไรให้หน้าอกยังอวบอึ๋ม

    ลดน้ำหนัก อกอึ๋ม นมไม่เล็ก ลีบแบน

    มีหุ่นอวบอ้วนมานานนม อยากมีหุ่นที่เป๊ะปังก็ต้องฮึดมาลดน้ำหนักกันสักหน่อย แต่พอลองลดน้ำหนักจริงๆ หน้าอกกลายเป็นสิ่งที่ไปก่อนพุงเสียอย่างนั้น น่าช้ำใจจริงๆ เพราะใครๆ ก็คงอยากมีหน้าอกที่อวบอึ๋มกันทั้งนั้น แต่เรื่องแบบนี้มีเคล็ดลับค่ะ มาดูกันดีกว่าว่าต้องลดน้ำหนักอย่างไรไม่ให้หน้าอกเราลดตามไปด้วยกับ วิธีลดน้ำหนัก หน้าอกไม่เล็ก ยังอวบอึ๋ม

    ลดน้ำหนักทำไมหน้าอกถึงเล็กลง?

    อันดับแรกเราต้องทำความเข้าใจกับ “ทรวงอก” ของเรากันก่อนเลยว่า ทรวงอกเป็นอวัยวะที่มีส่วนประกอบหลักคือไขมัน รองลงมาเป็นโปรตีน หากเราลดน้ำหนัก มันจึงมีต่อรูปทรงและขนาดของทรวงอกมาก เพราะการลดไขมันไม่สามารถเลือกลดเฉพาะจุดได้ ไขมันที่นมจึงต้องโดนไปด้วย เวลาที่เราอดอาหารจนร่างกายเข้าใจไปว่ากำลังขาดแคลนอาหารอยู่ ก็จะไปดึงไขมันออกไป ซึ่งจุดที่ดึงออกมาใช้ง่ายที่สุดก็คือบริเวณทรวงอกนั่นเอง ดังนั้นจึงไม่ต้องแปลกใจไปถ้าเริ่มลดน้ำหนักหรือออกกำลังกาย แล้วทรวงอกจะโบกมือลาเราไปก่อนส่วนอื่นๆ

    ต้องลดอย่างไร ถ้าไม่อยากให้นมหาย นมเล็ก ลีบแบน?

    1. ลืมเรื่องการอดอาหารไปซะ จำเอาไว้ว่าเมื่อร่างกายเราขาดแคลนอาหาร ก็ต้องไปดึงไขมันออกมาใช้ แล้วร่างกายก็ไม่สามารถเลือกได้ว่าจะเอาไขมันตรงไหนมาใช้ก่อน ดังนั้นการอดอาหารจึงเป็นสาเหตุแรกๆที่ทำให้นมหายค่ะ เปลี่ยนมากินอาหารที่ดี มีประโยชน์ ทานให้หลากหลายครบถ้วน 5 หมู่ หลีกเลี่ยงอาหารมันๆทอดๆ ได้ แต่ห้ามงดโปรตีนเด็ดขาด เพราะเป็นสารอาหารสำคัญที่จะนำมาใช่ซ่อมแซมฟื้นฟูร่างกาย และถึงแม้ส่วนประกอบหลักของทรวงอกคือไขมัน แต่ก็ยังต้องการโปรตีนเช่นเดียวกัน อาหารบางชนิดมีสารสำคัญที่ช่วยกระตุ้นให้หน้ากลับมาเฟิร์มกระชับ ทานบ่อยๆ อาจช่วยให้ทรวงอกมีขนาดใหญ่ขึ้นด้วย เช่น นมถั่วเหลือง กะหล่ำปลี น้ำมะพร้าว เป็นต้น

    2. วัยกำลังโต ไม่ต้องรีบลดน้ำหนัก โดยเฉพาะช่วงวัยรุ่น ซึ่งเป็นช่วงที่ร่างกายกำลังพัฒนา หน้าก็กำลังขยาย จึงจำเป็นต้องได้รับสารอาหารที่มีประโยชน์เพื่อไปพัฒนาในส่วนนี้ หากลดน้ำหนักแล้วมีความรู้ทางโภชนาการไม่มากพอ อาจทำให้ขาดสารอาหารที่จำเป็นที่ต้องใช้บำรุงทรวงอก จึงทำให้มันไม่มีขนาดใหญ่ตามที่ควรจะเป็น

    3. ลดน้ำหนักแบบช้าๆ ข้อนี้รวมทั้งการอดอาหารและการออกกำลังกายแบบหักโหมเข้าด้วยกันเลย เพราะการลดน้ำหนักแบบนี้จะทำให้น้ำหนักลงแบบฮวบฮาบ ทรวงอกซึ่งเป็นไขมันด่านแรกก็จะถูกกำจัดออกไปก่อนใคร ดังนั้นควรลดแบบค่อยเป็นค่อยไป จะดีต่อสุขภาพร่างกายและทรวงอกมากกว่า

    4. หลีกเลี่ยงการอาบน้ำอุ่น เพราะความร้อนนั้นมีส่วนช่วยในการสลายไขมัน ซึ่งเราก็ไปบังคับมันไม่ได้ว่าควรไปสลายตรงไหน หากอาบน้ำอุ่นบ่อยๆทรวงอกของเราจึงต้องโดนร่างแหตามไปด้วย หันมาอาบน้ำที่อุณหภูมิกันดีกว่า ไม่ทำให้ผิวแห้งด้วย นอกจากน้ำอุ่นแล้ว การอบไอน้ำหรืออบซาวน่าก็ต้องระวังด้วยเช่นกัน

    5. อย่าลืมบริหารกล้ามเนื้อหน้าอก ถึงแม้จะมีไขมันเป็นส่วนใหญ่แต่ทรวงอกก็ยังมีส่วนที่เป็นกล้ามเนื้ออยู่ เราต้องหมั่นบริหารกล้ามเนื้อส่วนนี้อยู่เสมอ เพื่อให้กล้ามเนื้อแข็งแรงและเพิ่มขนาดให้ใหญ่ขึ้น เมื่อมีกล้ามเนื้อแล้วต่อให้ไขมันลด กล้ามเนื้อก็ไม่ลดตาม ขนาดหน้าอกอาจจะเล็กลงบ้างแต่ไม่มากแน่นอน อีกทั้งยังช่วยทำให้อกกระชับ เต่งตึงไม่หย่อนคล้อยด้วยค่ะ

    6. นวดหน้าอก เป็นอีกวิธีที่น่าสนใจ สำหรับผลลัพธ์นั้นก็อาจจะขึ้นอยู่กับอุปกรณ์ที่ใช้และการตอบสนองของแต่ละคนที่ต่างกันไป ไม่รู้ว่าเราทำบ้างแล้วจะได้ผลดีไหม แต่ไม่ลองดูก็ไม่รู้ใช่ไหมล่ะ

    • ถ้ามีครีมนวดหน้าอก ให้บีบครีมลงบนฝ่ามือแล้ววอร์มครีมให้อุ่นก่อน จะทำให้ครีมซึมซาบได้ดีมากขึ้น
    • ใช้นิ้วชี้ กลางและนาง ป้ายครีมรอบเต้านม เว้นบริเวณหัวนมเอาไว้
    • ใช้มือข้างตรงข้ามนวดเต้านม เช่น มือซ้ายนวดเต้านมขวา เป็นต้น โดยนวดเริ่มจากข้างลำตัวแล้วนวดเป็นวงกลม วนเข้าด้านใน แล้วช้อนหน้าอกให้ยกขึ้น ทำซ้ำ 20 ครั้ง แล้วค่อยเปลี่ยนไปทำอีกข้าง
    • วางปลายนิ้วลงบนทรวงอกให้เหนือหัวนมเล็กน้อย จากนั้นนวดขึ้น 20 ครั้งแล้วเปลี่ยนข้างทำ
    • ขั้นตอนสุดท้าย โกยนมจากด้านข้างเข้ามาด้านใน และโกยจากด้านล่างขึ้นมาด้านบน ทั้ง 20 ครั้งแล้วสลับข้าง

    ท่าออกกำลังกายช่วยบริหารกล้ามเนื้อหน้าอก

    ท่าที่ 1 ดันพื้น มันจะคล้ายกับท่าวิดพื้น เพียงแต่เบาและทำงานกว่า โดยเราต้องตั้งท่าแบบท่าวิดพื้นแต่วางเข่าให้ติดพื้นด้วย จากนั้นดันพื้น 3 เซท เซทละ 8-12 ครั้ง

    ท่าบริหารลดน้ำหนัก เพิ่มหน้าอกอึ๋ม

    ท่าที่ 2 เริ่มจากนอนราบไปกับพื้นแล้วตั้งเข่าขึ้น มือถือดัลเบลแล้วยกเหยียดไปเหนือศีรษะจนสุด จากนั้นก็เอาลง ทำ 3 เซท เซทละ 8-12 ครั้ง

    ท่าที่ 3 นอนคว่ำหน้า ขาเหยียดตรง แขนวางไว้ข้างลำตัว จากนั้นเหยียดแขนตรงไปด้านหน้า แล้วดึงกลับมาด้านหลัง ห้ามไม่ให้แขนแตะพื้น ต้องยกลำตัวช่วงบนให้เหนือพื้นเล็กน้อยด้วย ทำ 3 เซท เซทละ 8-12 ครั้ง

    ทั้ง 3 ท่าเป็นการลดน้ำหนักที่ช่วยเพิ่มหน้าอกอึ๋ม ไม่ทำให้อกเล็ก แบนลีบ เรียกว่าได้ทั้งหุ่นสวย อกอึ๋ม ถูกอกถูกใจสาวๆ แน่นอน

    การที่หน้าอกเล็กลงเมื่อลดน้ำหนักนั้น เป็นเรื่องธรรมดามาก อยากให้ผู้ที่กำลังลดน้ำหนักทุกคนเข้าใจในส่วนนี้ อย่าลืมว่าทรวงอกของผู้หญิงนั้นมีไขมันเป็นส่วนใหญ่ พอไขมันลดลงจากการลดน้ำหนัก ทรวงอกก็ลดขนาดตามไปด้วยเป็นเรื่องธรรมดา แต่มันก็พอมีเทคนิคอยู่บ้างที่จะยังช่วยรักษาสภาพไว้ ถึงแม้จะขนาดไม่เท่าเดิม เเต่ก็ไม่ลดมากเกินไปนัก อีกทั้งยังกระชับและไม่หย่อนคล้อย  แต่ถ้าอยากได้ใหญ่ดูมๆ แค่ออกกำลังกายอย่างเดียวคงไม่พอแล้วล่ะ ขอแนะนำให้ไปพบแพทย์จ้า

    เรียบเรียงข้อมูลโดย เว็บsukkaphap-d.com