free web tracker, fire_lady วิธีแก้สิวอักเสบ...เพื่อความเนียนใสบนใบหน้า • สุขภาพดี

วิธีแก้สิวอักเสบ

เพื่อความเนียนใสบนใบหน้า

วิธีแก้สิวอักเสบ

เมื่อพูดถึงศัตรูตัวฉกาจที่มาบดบังความสวยงามบนใบหน้าของเราแล้ว หนึ่งในนั้นก็คงหนีไม่พ้น “สิว” แม้สิวจะไม่ใช่โรคร้ายแรง แต่เมื่อเป็นแล้วก็ต้องรีบหาทางรักษา เพราะสิวสามารถทำลายความมั่นใจและบุคลิกภาพของคนเราได้ไม่น้อยเลยทีเดียว...และสิวที่สาวๆไม่อยากให้ผุดขึ้นมาบนใบหน้ามากที่สุดก็เห็นจะเป็นสิวเม็ดใหญ่ บวม แดง และเห็นเด่นชัดมาแต่ไกล สิวชนิดนี้เรียกว่า “สิวอักเสบ” นั่นเอง เพื่อไม่ให้ใบหน้าที่สวยงามต้องถูกทำร้ายจากสิวอักเสบ วันนี้สุขภาพดี...มีสาเหตุ และวิธีแก้สิวอักเสบ แบบง่ายๆ ได้ผลมาฝากค่ะ

สิวอักเสบคืออะไร?

สิวอักเสบ หรือ Inflammatory acne เกิดจากฏิกิริยาระหว่างแบคทีเรียที่อยู่ในรูขุมขนกับไขมันหรือน้ำมันภายในเซลล์ผิวหนัง เรียกว่า Comedones นอกจากนั้นสิวอักเสบ อาจจะเกิดจากการที่สิวอุดตันติดเชื้อจากแบคทีเรียที่ชื่อว่า Propionibacterium acne หรือ พีแอ็คเน่ (P.acne) จนเกิดการบวมแดงและอักเสบขึ้นมา มีลักษณะเป็นตุ่มแดง บางครั้งจะมีหนองร่วมด้วย ถ้ามีขนาดใหญ่มากเรียกว่า “สิวหัวช้าง” แต่สำหรับคนที่กำลังถูกสิวอักเสบระรานความงามบนใบหน้าอยู่ก็ไม่ต้องห่วงค่ะ เพราะวันนี้เรามีวิธีในการรักษาและป้องกันสิวอักเสบมาฝากค่ะ แต่ก่อนอื่นต้องมาทำความเข้าใจกับพฤติกรรมที่ทำให้เกิดสิวอักเสบกันก่อนค่ะว่ามีอะไรบ้าง จะได้หลีกเลี่ยงได้ถูก ตามไปดูกันเลย

พฤติกรรมที่ทำให้เกิดสิวอักเสบ

1 ใช้ Skincare ที่ไม่เหมาะสมกับผิวหน้า อย่างบางคนเป็นคนผิวบอบบางและแพ้ง่าย แต่ก็ยังเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของน้ำหอมและแอลกอฮอล์ ก็จะยิ่งไปกระตุ้นให้ผิวเกิดการระคายเคือง เป็นสาเหตุของการเกิดสิวอักเสบนั่นเอง รวมถึงไปคนที่ชอบซื้อเครื่องสำอางตามแฟชั่น ลองใช้ของใหม่บ่อยๆ ก็อาจเสี่ยงต่อการเป็นสิวอักเสบมากกว่าคนอื่นๆ

2 นอนดึก แน่นอนว่าการนอนดึกไม่เคยส่งผลดีใดๆต่อร่างกายเลย แถมยังเป็นสาเหตุอันดับต้นๆ ที่ทำให้ใบหน้าเราเกิดสิวอักเสบเลยก็ว่าได้ โดยสังเกตได้ว่าในช่วงสอบหรือในช่วงที่ต้องปั่นงานจนดึกนั้น เราจะมีสิวอักเสบขึ้นเยอะเป็นพิเศษ นั่นเป็นเพราะว่าเมื่อนอนดึก ร่างกายก็จะเกิดภาวะเครียดและหลั่งฮอร์โมน Cortisol ออกมา ซึ่งฮอร์โมนตัวนี้จะไปกระตุ้นให้ต่อมไขมันผลิตน้ำมันออกมามากขึ้น ทำให้โอกาสที่จะเป็นสิวอักเสบเพิ่มขึ้นไปอีก

3 รบกวนผิวหน้ามากเกินไป บางคนเข้าใจผิดว่าการขัด นวด ผิวหน้าบ่อยๆนั้น จะทำให้ผิวสะอาดและมีสุขภาพดี แต่แท้จริงแล้วผลลัพธ์กลับตรงกันข้าม เพราะการไปรบกวนผิวหน้าบ่อยๆ อาจทำให้ผิวเกิดการระคายเคือง รวมทั้งการจับ ลูบ แคะ แกะ เกาใบหน้าบ่อย ๆ ก็เป็นการนำพาแบคทีเรียมาสู่ใบหน้า ทำให้สิวที่มีอยู่เกิดการอักเสบได้ง่ายขึ้นอีกด้วย นอกจากนั้นการล้างหน้ามากกว่าวันละ 2 ครั้ง จะเป็นการกระตุ้นต่อมไขมันให้ทำงานมากกว่าปกติ ทำให้ผิวผลิตน้ำมันออกมามากขึ้น จนเกิดการอุดตันในรูขุมขน และกลายเป็นสิวอักเสบในที่สุด

4 อุปกรณ์แต่งหน้าที่หมักหมม โดยเฉพาะพัฟและแปรงแต่งหน้า ซึ่งเป็นแหล่งสะสมแบคทีเรียชั้นดีเลยทีเดียว บางคนตั้งแต่ซื้อมายังไม่เคยทำความสะอาดเลยสักครั้ง เพื่อป้องกันไม่ให้อุปกรณ์แต่งหน้าของคุณกลายเป็นที่เพาะพันธุ์แบคทีเรียจนทำให้เกิดสิวอักเสบขึ้นมา แนะนำให้ทำความสะอาดอย่างน้อยที่สุดเดือนละ 1 ครั้ง ด้วยน้ำยาล้างแปรงและพัฟแต่งหน้าโดยเฉพาะ หรือจะใช้สบู่เด็กอ่อนๆก็ได้เช่นกันค่ะ

5 การทำความสะอาดผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับเส้นผมไม่ว่าจะเป็นยาสระผม ครีมนวดผม ทรีทเม้นท์ แฮร์โค้ท สเปรย์จัดทรงผม สิ่งเหล่านี้มีสารที่ก่อให้เกิดการอุดตัน และระคายเคืองผิวทั้งสิ้น หากล้างทำความสะอาดไม่ดี จะทำให้เกิดสิวบริเวณรอบๆกรอบหน้า ไรผม และแผ่นหลังได้

6 ยาบางชนิด ยาบางชนิดก็อาจเป็นสาเหตุของการเกิดสิวได้เช่นกัน เพราะมีสารที่ไปกระตุ้นให้ฮอร์โมนและเคมีในร่างกายเกิดการเปลี่ยนแปลงได้ เช่น ยาปฏิชีวนะบางชนิด, ยาสเตียรอยด์ทั้งชนิดที่ใช้ทาและรับประทาน ฯลฯ ทางที่ดีก่อนใช้ยาเหล่านี้ควรขอคำแนะนำจากแพทย์ เมื่อรู้ผลข้างเคียงแล้วก็ต้องใช้อย่างระวัง และเมื่อหยุดทานยาแล้วก็ต้องหาวิธีแก้และรักษาสิวอักเสบกันต่อไป

วิธีรักษา แก้ปัญหาสิวอักเสบ

1 อย่าแกะ แคะ หรือบีบสิวเป็นอันขาด เป็นวิธีแก้สิวอักเสบจากพฤติกรรมที่เราพลั้งเผลออยู่บ่อยๆ  ในขณะที่สิวกำลังบวมเป่งอยู่ หากเราไปแกะสิวขณะสิวกำลังอักเสบอยู่ มีความเป็นไปได้สูงที่สิวจะทิ้งรอยดำเอาไว้หลังจากหายแล้ว เพราะเมื่อกระบวนการสมานเนื้อเยื่อและการสร้างเซลล์เม็ดสีผิวถูกรบกวนจากการแกะสิว หรือบีบสิว ทำให้เซลล์สร้างเม็ดสีบางบริเวณทำงานผิดปกติ และสร้างเมลานินมากขึ้น จนเกิดเป็นสีดำหรือสีน้ำตาลถึงแม้ว่าสิวจะหายแล้วก็ตาม ทั้งนี้ รอยดำที่เกิดจากแกะสิวแบบนี้จะค่อยๆหายไปเอง แต่ต้องใช้เวลาสักระยะหนึ่ง แต่หากอยากให้หายเร็วขึ้นสามารถใช้ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยลดอัตราการสร้างเมลลานินบนชั้นผิวอย่าง Azelaic acid ความเข้มข้น 20% สามารถหาซื้อได้ตามร้านขายยาทั่วไป จะช่วยให้รอยสิวหายเร็วขึ้น แต่หากเนื้อเยื่อบนชั้นผิวถูกทำลายมาก และไม่สามารถสร้างขึ้นมาทนแทนใหม่ได้ จะทำให้เกิดหลุมสิวถาวร ซึ่งรักษายากมาก ดังนั้นการไม่ไปรบกวนผิวบริเวณที่กำลังเป็นสิวอยู่จะดีที่สุดค่ะ

2 ทำความสะอาดผิวหน้าด้วยผลิตภัณฑ์ล้างหน้าที่อ่อนโยน ไม่มีสาร SLS หรือ Sodium Lauryl Sulfate ซึ่งเป็นสารทำความสะอาดที่นิยมมากที่สุดในผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดต่างๆ เช่น แชมพู ครีมอาบน้ำ และโฟมล้างหน้า เนื่องจากคุณสมบัติในการทำความสะอาดที่ดีเยี่ยม และมีฟองมาก จึงเป็นที่ชื่นชอบของคนผิวมัน แต่เมื่อใช้ไปนานๆ จะเกิดการตกค้างบนผิว ทำให้ผิวแพ้ ระคายง่าย และในบางรายอาจทำให้เกิดสิวผดร่วมด้วย ดังนั้นเวลาเลือกผลิตภัณฑ์ล้างหน้า ควรสังเกตที่ส่วนผสม หรือ active ingredient ว่ามีสาร SLS อยู่หรือไม่ หากมีแนะนำว่าให้หลีกเลี่ยง และที่สำคัญไม่ควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่ผสมน้ำหอม สี หรือน้ำมันค่ะ เพราะจะยิ่งเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดสิวมากขึ้น ซึ่งเป็นวิธีแก้สิวอักเสบได้อีกทางหนึ่งค่ะ

3  หลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่มีสาร AHA หรือ Alpha Hydroxy Acid สารชนิดนี้นิยมกันมากในครีมหน้าขาว และครีมลดรอยดำต่างๆ แต่สำหรับผู้ที่กำลังเป็นสิวอักเสบอยู่นั้น แนะนำว่าให้หลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่มี AHA เป็นส่วนประกอบ เนื่องจาก AHA จะไปกระตุ้นอัตราการผลัดเซลผิว หากสิวอักเสบถูกเร่งให้ผลัดเซลผิวเร็วขึ้น สิวก็จะยิ่งอักเสบและบวมแดงมากขึ้น แต่ในกรณีที่เป็นสิวอุดตัน AHA จะลดการอุดตันได้เป็นอย่างดี ดังนั้นจึงควรสังเกตดีๆนะคะ ว่าเรากำลังเป็นสิวชนิดใดอยู่ หากเป็นสิวอักเสบอยู่แนะนำให้อยู่ห่างๆ AHA เข้าไว้ค่ะ นอกจากใน skincare แล้ว ผลิตภัณฑ์จากสมุนไพรที่สาวๆมักใช้มาส์กหน้าอย่าง มะขามเปียก น้ำมะนาว ฯลฯ ก็มี AHA อยู่ในเปอร์เซนต์ที่สูงเช่นกันค่ะ

4  เลือกใช้ยา แทน skincare ทั่วไป เพราะยา กับ skincare นั้นมีฤทธิ์ต่างกันมาก ยาจะออกฤทธิ์ได้เร็ว และตรงจุดมากกว่า skincare ที่มีการเคลมว่ารักษาสิว เนื่องจากยามีส่วนผสม หรือสารบางอย่างที่สามารถรักษาสิวได้ แต่จะมีการห้ามไม่ให้ใช้สารเหล่านั้นในเครื่องสำอาง ดังนั้น หากใครเป็นสิว ควรซื้อยารักษาสิวไปเลย จะดีกว่าการซื้อ skincare ซึ่งราคาแพงกว่าแถมยังไม่ได้ผลด้วยนะคะ ยาที่ใช้ในการรักษาสิวอักเสบโดยทั่วไป มีดังนี้

  • Clindamycin เป็นยาปฏิชีวนะที่มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรียกลุ่ม Anaerobic bacteria ซึ่งมีอยู่ในสิวอักเสบ โดยทั่วไปจะใช้เวลาประมาณ 3-4 วัน สิวจะเริ่มดีขึ้น และหายภายใน 1 สัปดาห์ แต่สำหรับผู้ที่เคยใช้ยานี้มาเป็นเวลานานแล้ว ยานี้จะทำให้เกิดการดื้อยาได้ ควรเปลี่ยนชนิดยาเป็น Erythromycin 4% ซึ่งเป็นยาปฏิชีวนะในการรักษาสิวเช่นกัน แต่ไม่ทำให้เชื่อดื้อยา
  • Benzoyl peroxide เป็นยาที่ออกฤทธิ์ฆ่าเชื้อ P. acne ซึ่งเป็นต้นเหตุของการเกิดสิว อีกทั้งยังเข้าไปลดปริมาณกรดไขมันบริเวณรูขุมขนให้น้อยลง ยานี้ใช้ทาก่อนล้างหน้าประมาณ 10-15 นาที ถ้าไม่แพ้ และไม่มีอาการแสบแดงใดๆ สามารถเพิ่มเวลาได้ แต่สาวๆที่แต่งหน้าหรือใช้เครื่องสำอางที่กันน้ำจะต้องใช้คลีนซิ่งเช็ดให้สะอาดก่อนจึงจะทายา ยานี้ค่อนข้างแรงและมีผลข้างเคียงทำให้ผิวหนังแดง ทนแดดได้น้อยลง และทำให้สีผิวจางลงได้ ดังนั้นหากใช้ยานี้ ควรทาครีมกันแดดเป็นประจำนะคะ

สิวเป็นเรื่องธรรมชาติ การหลีกเลี่ยงการเป็นสิวจึงเป็นไปได้ยาก โดยเฉพาะวัยรุ่นที่ฮอร์โมนกำลังแปรปรวน แต่หากสามารถหลีกเลี่ยงปัจจัยที่ทำให้เกิดสิวดังที่ได้กล่าวมาแล้ว โอกาสเป็นสิวก็จะลดน้อยลง นอกจากนี้ก็ควรพักผ่อนให้เพียงพอ รับประทานผักผลไม้ และน้ำเปล่าให้เพียงพอ และต้องเครียดจนเกินไป เพื่อป้องกันการเกิดสิวอักเสบได้ในระยะยาว ส่วนวิธีแก้สิวอักเสบที่นำมาฝากก็สามารถช่วยได้ในเวลาที่สิวอักเสบมาอยู่บนใบหน้าแบบไม่ได้รับเชิญค่ะ